เรื่องราวของ Sex Education ในซีซั่นนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อโรงเรียนมัวร์เดลปิดกิจการ โอทิสกับเพื่อนนักเรียนจำนวนหนึ่งจำต้องย้ายไปเรียนที่วิทยาลัยคาเวนดิช โลกที่ต่างไปจากโรงเรียนแห่งเดิมโดยสิ้นเชิง ที่นี่เป็นโรงเรียนหัวใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ นักเรียนมีอิสระในการแสดงออกความเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ มีกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้แบบจัดหนักจัดเต็ม และเควียร์ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมในสังคมโรงเรียนแม้แต่น้อย ไม่สิ พวกสเตรทต่างหากที่เป็นฝ่ายน่าเบื่อจำเจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย อย่างน้อยก็กับโอทิส ที่คราวนี้เขาจะต้องรับมือกับความสัมพันธ์ทางไกล แม่ที่ต้องดูแลลูกสาวเพิ่งเกิดพร้อมกับจัดรายการวิทยุจนหัวหมุน ความเหินห่างของเพื่อนสนิท แถมคลีนิกของเขาก็ทำท่าว่าจะไม่รอดเมื่อวิทยาลัยแห่งนี้ มีกูรูเพศศึกษาอย่าง โอ คอยให้คำปรึกษาอยู่แล้ว
ทางเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดของซีซั่นนี้คือไอเดียการกลับหัวกลับหางโลกในโรงเรียนจากเดิมให้เป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยความหลากหลายทางเพศ มันชี้ให้เห็นว่าแม้จะอยู่ในโลกที่ก้าวหน้าจนแทบจะเป็นแฟนตาซี วัยรุ่นก็ยังคงเป็นวัยรุ่น เป็นมนุษย์คลำทางสะเปะสะปะเพื่อค้นหาจุดที่เหมาะสมกับตัวเองท่ามกลางความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด ผ่านความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน ความห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบนี้เองที่ทำให้ชวนขบคิดต่อไปได้ว่าว่าต่อให้มุมองทางเพศก้าวหน้าแค่ไหน เราก็ยังมีโอกาสจะบาดเจ็บและสร้างแผลให้แก่กันเสมอ การเรียนรู้จึงไม่มีวันสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง
ขอสารภาพไว้ตรงนี้ว่าเส้นเรื่องที่ผู้เขียนสนใจเป็นพิเศษไม่ใช่เรื่องของโอทิส (และจนตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่) แต่เป็นเหล่าบรรดาตัวละครอื่น ๆ ที่ได้รับการกระจายบทบาทอย่างทั่วถึงกัน ทั้งความสัมพันธ์ของอดีตครูใหญ่กับอดัม ลูกชายไม่เอาถ่านของเขา การตระหนักถึงอำนาจภายในตนของเอมี่ผู้มีบาดแผลจากการลวนลามบนรถบัส เรื่องราวของเมฟกับความทั้งรักทั้งชังที่มีต่อแม่ ภาวะการเอาตัวแทบไม่รอดของผู้เชี่ยวชาญเรื่องความสัมพันธ์อย่างดอกเตอร์จีน และทางแพร่งระหว่างตัวตนกับชุมชนชาวคริสต์ของเอริก (ซึ่งดูจะเป็นลูกรักทีมเขียนบทเหลือเกิน เพราะเขามีประเด็นเข้ม ๆ มาให้เจอทุกซีซั่นเลย) การเผชิญหน้าระหว่างพวกเขากับอุปสรรคที่ว่ามานั้นทั้งเจ็บปวดและเปี่ยมไปด้วยหัวจิตหัวใจจนรู้สึกเชื่อมโยงกับชีวิตจริงได้อย่างไม่ยากเย็น
หากจะมีส่วนให้ชวนเสียดายอยู่สักหน่อยก็คงจะเป็นเสน่ห์ของแก๊ง The Coven กลุ่มตัวมัมของคาเวนดิชที่ผู้เขียนเห็นว่าเราได้มีเวลาทำความรู้จักพวกเขาเพียงน้อยนิด ก่อนที่จะได้เห็นว่าพวกเขาเป็นแค่อีกเคสหนึ่งให้โอทิสได้แก้ไข กับเพลงประกอบเด่น ๆ ที่เคยเป็นเสน่ห์ของซีรีส์กลับลดบทบาทลงอย่างน่าใจหาย แต่นั่นก็ไม่ได้ถือเป็นแผลของซีรีส์เท่าไรนัก เมื่อเทียบกับการเล่นใหญ่ในเส้นเรื่องของแจ็กสันที่ให้ผลลัพธ์ออกมาน้อยนิดไม่คุ้มค่ากับเวลาที่มันลงทุนไป
อย่างไรก็ดีปลายทางของ Sex Education ในซีซั่นสุดท้ายก็ยังถือว่าห่างใกล้จากคำว่าจืดชืดอย่างที่มันเคยถูกติงเอาไว้ในซีซั่นก่อน ๆ บทสรุปเรื่องราวการเติบโตของโอทิสกับผู้คนรายรอบตัวเขาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดหลังเครดิตโรลปรากฏขึ้นบนจอ จดหมายร่ำลาในมือโอทิสเป็นเหมือนกับสารที่ผู้สร้างส่งถึงผู้ชมว่าแม้จากนี้เราจะไม่ได้เจอบรรดาตัวละครมากสีสันเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ได้จากการเดินทางร่วมกันมาจะยังคงเติบโตอยู่ในตัวเราเสมอ
และต่อจากนี้คือเวลาของการทบทวนบทเรียนด้วยตัวเอง
รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?