เจนเดอร์โวแคบูลารี
(อะ-โบร-เซ็ก-ชวล)
แปลว่า ผู้ที่เปลี่ยนแปลงหรือเลื่อนไหลกลับไปมาระหว่างเพศสภาพหลากหลายแบบอย่างรวดเร็ว
มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่าบางคนอาจประสบกับการเปลี่ยนแปลงรสนิยมทางเพศของตน และสิ่งนี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
(แอฟ-เฟิร์ม-เจน-เดอร์)
หมายถึง เพศ ที่บุคคลต้องการระบุเพื่อให้เป็นที่รับรู้ เป็นคำที่ใช้เพื่อแทนคำเดิมเช่น เพศใหม่ หรือ เพศทางเลือก เพราะคำว่าเพศใหม่ หมายความว่าเพศนั้นไม่ใช่เพศของตนเองตั้งแต่แรก และเพศทางเลือกหมายถึงว่าบุคคลได้เลือกเพศนี้มาไม่ใช่เป็นเพศของตนเองอยู่แล้ว
(อา-เจน-เดอร์)
แปลว่า บุคคลที่ไม่นิยมระบุอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง หรือระบุว่าตนเองไม่มีอัตลักษณ์ทางเพศ, ผู้ที่ไม่จำแนกว่าตนเองอยู่ในเพศสภาพใด ๆ เลย
(อะ-โร-แมน-ติก)
คำที่ใช้เพื่ออธิบายบุคคลที่ไม่มีความรู้สึกทางโรแมนติกหรือไม่มีความสนใจทางโรแมนติกต่อผู้อื่น คนเหล่านี้อาจมีความสนใจทางเพศหรือไม่มีก็ได้ แต่ไม่มีความปรารถนาหรือไม่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่มีลักษณะเชิงโรแมนติกกับผู้อื่น
ความเป็น Aromantic ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถรัก หรือไม่มีความรู้สึกเอาใจใส่ผู้อื่น พวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมีความหมาย ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง ความสัมพันธ์กับเพื่อน หรือความสัมพันธ์ที่อิงกับความเคารพและความไว้วางใจ
สำหรับบางคน ความเป็น Aromantic อาจเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่คงที่ ในขณะที่สำหรับบางคนอาจพบว่าความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาหรือสถานการณ์ได้ การยอมรับและเข้าใจความหลากหลายของประสบการณ์ทางอารมณ์และความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญในการเคารพและยอมรับความหลากหลายของมนุษย์
(ไบ-นา-รี)
ในบริบทของเรื่องเพศหมายถึงระบบที่จำกัดเพศของมนุษย์ไว้เพียงสองประเภทเท่านั้น นั่นคือ ชาย (Male) และหญิง (Female)
ระบบนี้มองว่าเพศของมนุษย์มีเพียงสองแบบและอยู่ภายใต้ขอบเขตที่ชัดเจนจากลักษณะทางชีววิทยาและเพศสภาพ
ในปัจจุบันมีการยอมรับกันมากขึ้นว่าเพศของมนุษย์นั้นมีความหลากหลายและไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สองประเภทนี้เท่านั้น
ลักษณะและสิ่งที่เกิดขึ้นจากระบบไบนารี
- กำหนดเพศสองแบบ มีเพียงชายและหญิงตามลักษณะชีววิทยาเป็นหลัก ดูแค่ตาม โครโมโซมเพศ อวัยวะเพศ และลักษณะทางสรีระภายนอก
- ใช้เพศไบนารีกำหนดกฎหมาย และนโยบายในสังคม
- มีความคาดหวังตามกล่องเพศ เช่น ผู้ชายต้องเข้มแข็งไม่ร้องไห้ ต้องเป็นผู้นำครอบครัว ต้องแข็งแรง ปกป้องคนอื่น ผู้หญิงเป็นเพศละเอียดอ่อนสวยงาม ต้องดูแลครอบครัว ต้องทำงานบ้าน
- อาจเกิดการไม่ยอมรับความหลากหลายนอกเหนือจากชายและหญิง และกีดกันคนที่ไม่เข้ากับระบบไบนารีให้กลายเป็นอื่น เป็นสิ่งผิดปกติ
(บิ-พอค)
BIPOC เป็นคำย่อภาษาอังกฤษที่ย่อมาจาก Black, Indigenous, People of Color ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า คนผิวดำ ชนพื้นเมือง และคนผิวสี คำนี้ถูกใช้เพื่อรวมกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นคนผิวขาวเข้าด้วยกัน และเน้นย้ำถึงประสบการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่ม
ทำไมต้องใช้คำว่า BIPOC?
เน้นความแตกต่าง – คำนี้ช่วยให้เห็นว่า แม้คนผิวสีจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่ก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น คนผิวดำและชนพื้นเมืองมักเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเชื้อชาติมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
ให้ความสำคัญกับชนพื้นเมือง – การใส่คำว่า “Indigenous” เข้าไป ช่วยให้เห็นถึงความสำคัญของชนพื้นเมือง และประวัติศาสตร์อันยาวนานของพวกเขา
สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน – คำนี้ช่วยให้กลุ่มคนที่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว มารวมตัวกันเป็นกลุ่มเดียวกัน และช่วยให้เกิดพลังในการเรียกร้องความเท่าเทียม
ทำไมคำนี้ถึงได้รับความนิยม?
– การเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น Black Lives Matter ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษาที่ถูกต้องและเป็นธรรม
– สังคมเริ่มให้ความสำคัญกับความหลากหลายมากขึ้น และคำนี้ก็สะท้อนถึงความหลากหลายนั้น
– คำนี้เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2013 แต่เพิ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงปี 2020
– สื่อโซเชียลมีเดียช่วยให้คำนี้แพร่หลายไปทั่วโลก
สรุป
คำว่า BIPOC เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นคนผิวขาว และเน้นย้ำถึงประสบการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่ม การใช้คำนี้เป็นการแสดงออกถึงความเคารพและความเข้าใจในความหลากหลายของมนุษย์ และเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมกัน
สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม:
– คำว่า BIPOC ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ใช้คำอื่นๆ เช่น คนผิวสี หรือคนเอเชียอีกต่อไป แต่เป็นเพียงการเพิ่มทางเลือกในการสื่อสารให้มีความหมายที่ชัดเจนมากขึ้น
– ควรใช้คำนี้ในบริบทที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการใช้ในทางที่ดูหมิ่นหรือเหยียดหยาม
– การใช้คำนี้ควรมาพร้อมกับการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และปัจจุบันของกลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่ม BIPOC
– แม้คำนี้จะมีจุดประสงค์ที่ดี แต่ก็มีข้อวิจารณ์ว่าอาจทำให้เกิดการรวมกลุ่มที่มากเกินไป และไม่ได้สะท้อนประสบการณ์ที่แตกต่างของแต่ละกลุ่ม
(ซิส-เจน-เดอร์)
บุคคลที่อัตลักษณ์ทางเพศตรงกับเพศที่ถูกกำหนดให้เมื่อเกิด นั่นคือ ระบุตัวตนว่าเป็นชายหรือหญิงตามอวัยวะเพศที่ปรากฏเมื่อเกิด
เช่น คนคนหนึ่งถูกกำหนดว่าเป็นเพศหญิงเมื่อเกิดและเมื่อเติบโตขึ้นก็รู้สึกและระบุตัวตนว่าเป็นหญิง จะถูกเรียกว่า “ซิสเจนเดอร์หญิง” เช่นเดียวกันหากบุคคลที่ถูกกำหนดว่าเป็นเพศชายเมื่อเกิดและระบุตัวตนว่าเป็นชาย เขาจะเรียกว่า “ซิสเจนเดอร์ชาย”
ตรงกันข้ามกับ “transgender” ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศที่พวกเขาถูกกำหนดให้เมื่อเกิด
คำว่า “cisgender” ช่วยให้สามารถพูดถึงประสบการณ์ของบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศตรงกับเพศเกิดได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสันนิษฐานว่าเป็น “ปกติ” หรือ “มาตรฐาน” เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและยอมรับความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศในสังคม
ลักษณะ ของ CISGENDER
- เพศกำเนิดและเพศระบุตัวตนตรงกัน
- ไม่มีประสบการณ์ของการเปลี่ยนเพศหรือการระบุตัวตนที่ต่างจากเพศกำเนิด
- ส่วนใหญ่ไม่ต้องเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศ
- มักได้รับการยอมรับในสังคมไบนารีโดยอัตโนมัติ
(คอน-เซ้นท์)
แปลว่า อนุญาต ตกลง ยินยอม
ในบริบททางเพศและกิจกรรมทางเพศ คือการยินยอม ตกลงพร้อมใจว่าเราต้องการสิ่งนี้ในแบบเดียวกัน โดยไม่อนุมานเอาเองจากอากัปกริยา ท่าทาง
(เอฟเฟมมิโนโฟเบีย) คือคำศัพท์ที่หมายถึงความกลัวหรือความรังเกียจต่อพฤติกรรมหรือลักษณะที่มีความเป็นผู้หญิง (feminine) ในผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชายรักชาย
เป็นรูปแบบหนึ่งของความเกลียดกลัวความเป็นหญิง (misogyny) ที่แสดงออกต่อผู้ชายที่มีลักษณะคล้ายผู้หญิง
คำนี้มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า “effeminare” ซึ่งแปลว่า “ทำให้เป็นผู้หญิง” และ “phobia” ซึ่งแปลว่า “ความกลัว”
ตัวอย่างของพฤติกรรม effeminophobic
– การล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งผู้ชายที่มีลักษณะเป็นผู้หญิง
– การใช้คำดูถูกเหยียดหยามผู้ชายที่มีลักษณะเป็นผู้หญิง
– การเลือกปฏิบัติต่อผู้ชายที่มีลักษณะเป็นผู้หญิงในการทำงานหรือในสังคม
– การใช้ความรุนแรงต่อผู้ชายที่มีลักษณะเป็นผู้หญิง
แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี
มีหลายวิธีที่จะต่อสู้กับ effeminophobia เช่น
– การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ effeminophobia และผลกระทบของ effeminophobia
– การสนับสนุนผู้ชายที่มีลักษณะเป็นผู้หญิง
– การท้าทาย stereotype เกี่ยวกับความเป็นชาย
– การสร้างสังคมที่เปิดกว้างและครอบคลุม
งานวิจัยพบว่าชายรักชายในพื้นที่ชนบทมักมีทัศนคติ effeminophobia เนื่องจากพวกเขาต้องการแสดงออกถึงความเป็นชายตามบรรทัดฐานของสังคมชนบท จึงมักปฏิเสธและแยกตัวเองออกจากผู้ชายรักชายที่มีลักษณะเป็นผู้หญิง เพื่อเน้นความคล้ายคลึงกับผู้ชายรักต่างเพศ
นอกจากนี้ effeminophobia ยังพบได้ในวงการบางประเภท เช่น การเต้นรำบอลรูม ซึ่งผู้ตัดสินและนักเต้นบางคนไม่ชอบการเต้นรำที่มีลักษณะเป็นผู้หญิง เนื่องจากถือว่าเป็นการท้าทายบรรทัดฐานความเป็นชายแบบดั้งเดิม
โดยสรุป effeminophobia เป็นทัศนคติที่รังเกียจหรือกลัวลักษณะความเป็นผู้หญิงในผู้ชาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับบรรทัดฐานเรื่องเพศสภาพและความเป็นชายในสังคม
(อี-กัล-ลิ-ทา-เรียน)
แปลว่า หลักการเท่าเทียม
คือแนวคิดหรือหลักการที่ยึดถือความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์และคุณค่าเท่าเทียมกัน ในเรื่องสิทธิ โอกาส และความยุติธรรมในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นเพศ, เชื้อชาติ, ชนชั้น, หรือสถานะทางสังคมใดๆ หลักการนี้จะสนับสนุนให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในทุกๆ ด้าน ไม่มีการแบ่งแยกหรือการกีดกัน
.
ในสังคมที่ยึดหลัก Egalitarian ผู้คนจะพยามลดหรือขจัดอคติต่างๆ เช่น พยายามสร้างความเท่าเทียมในที่ทำงานโดยให้โอกาสทางอาชีพและการเลื่อนตำแหน่งอย่างเท่าเทียมกัน การศึกษาที่เปิดกว้างสำหรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงฐานะ และการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพหรือการศึกษา
.
การยึดถือหลักการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความไม่เท่าเทียมในสังคมเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสามัคคีและความเข้าใจซึ่งกันและกันในหมู่ผู้คนที่มีความหลากหลาย
(ฟลู-อิด)
เป็นคำคุณศัพท์ที่ใช้อธิบายอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
คนที่ระบุตัวเองว่า fluid อาจรู้สึกว่าเพศของตนเปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างชาย หญิง หรือเพศอื่น ๆ หรืออาจรู้สึกว่าเพศของตนอยู่นอกเหนือกรอบเพศแบบ Binary โดยสิ้นเชิง
- บุคคลที่ระบุตนว่า fluid อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงในบางวัน เป็นผู้ชายในบางวัน และเป็นเพศอื่น ๆ ในบางวัน
- บุคคลที่ระบุตนว่า fluid อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงและผู้ชายในเวลาเดียวกัน
- บุคคลที่ระบุตนว่า fluid อาจรู้สึกว่าตนไม่มีเพศ (agender) ในบางวัน และมีเพศ (gendered) ในบางวัน
สิ่งนี้คือความลื่นไหล ไม่ตายตัว แต่ละคนมีประสบการณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับเพศของตนแตกต่างกัน
สิ่งสำคัญคือต้องเคารพการระบุตนเองของบุคคล และใช้คำศัพท์ที่บุคคลนั้นต้องการ โดยเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ความแปลก เยอะ วุ่นวาย
การเรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์เพศวิถีจะช่วยให้เราเข้าใจความหลากหลายทางเพศ และสร้างสังคมที่เปิดกว้างและครอบคลุมมากขึ้น
(เจน-เด้อ)
ในภาษาไทยหมายถึง “เพศ” หรือ “เพศสภาพ” ซึ่งอ้างอิงถึงบทบาท พฤติกรรม กิจกรรม ที่สังคมคาดหวัง คำนี้มีความหมายที่กว้างกว่าเพียงแค่ลักษณะทางชีววิทยาหรือเพศภายนอก เพราะมันยังรวมถึงบทบาททางเพศทางสังคมและการระบุเพศที่เป็นตัวตนของแต่ละบุคคลด้วย
Gender มีการแบ่งออกเป็นหลายมิติ ได้แก่
เพศชีววิทยา (Biological sex): ลักษณะทางชีววิทยาของอวัยวะเพศ โครโมโซม และฮอร์โมน
เพศสภาพทางสังคม (Gender roles): บทบาท พฤติกรรม และกิจกรรมที่สังคมคาดหวังจากบุคคลตามเพศของพวกเขา
การระบุเพศ (Gender identity): ความรู้สึกหรือการรับรู้ของบุคคลเกี่ยวกับเพศของตนเอง ไม่ว่าจะตรงกับเพศที่ได้รับการกำหนดตอนเกิดหรือไม่
การแสดงออกทางเพศ (Gender expression): วิธีที่บุคคลแสดงออกถึงเพศของตนเองผ่านการแต่งกาย ท่าทาง พฤติกรรม และการสื่อสารทางสังคม
การทำความเข้าใจเรื่องเพศในมิติที่หลากหลายนี้จะช่วยให้เราสามารถเคารพและยอมรับความหลากหลายของตัวตนทางเพศในสังคมได้มากขึ้น
(เฮท-เทอ-โร-เซ็ก-ชวล)
มาจากภาษากรีก “heteros” ซึ่งหมายถึง “ต่างกัน” และ “sexual” ซึ่งหมายถึง “ทางเพศ”
Hetero + sexual หมายถึง บุคคลที่มีความดึงดูดหรือมีความสนใจทางเพศ อารมณ์ และโรแมนติกกับเพศตรงข้าม
ลักษณะของ Heterosexual:
- ชายมีความดึงดูดและความสนใจทางเพศกับผู้หญิง
- หญิงมีความดึงดูดและความสนใจทางเพศกับผู้ชาย
- โดยทั่วไปแล้วสามารถมีลูกด้วยกันได้ตามธรรมชาติ
- เป็นรสนิยมทางเพศที่เป็นที่ยอมรับและเป็นบรรทัดฐานของสังคมโดยทั่วไป
โดยสรุป Heterosexual คือ บุคคลที่มีเพศวิถีแบบรักต่างเพศ หรือมีความดึงดูดต่อเพศตรงข้าม ทั้งในด้านเพศ อารมณ์ และความสัมพันธ์
(โฮ-โม-ฮิส-เท-เรีย)
Homohysteria ส่งผลต่อผู้ชายในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่มีการเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกัน (homophobia) สูง ซึ่งมีผลกระทบต่อพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้ชาย เช่น ผู้ชายอาจรู้สึกกดดันที่จะต้องแสดงความเป็นชายแบบดั้งเดิมอย่างเข้มงวด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเป็นเกย์ ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ก้าวร้าวหรือการแยกตัวทางกายภาพจากผู้ชายคนอื่น หรือหลีกเลี่ยงการแสดงออกทางอารมณ์ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
ในสังคมที่มีความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกันลดลง ผู้ชายสามารถแสดงออกถึงความใกล้ชิดทางกายภาพและอารมณ์กับผู้ชายคนอื่นได้มากขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นเกย์ จะส่งผลให้ชีวิตของผู้ชายรักต่างเพศดีขึ้น
การลดลงของ homohysteria ทำให้มีการเปิดกว้างมากขึ้นต่อพฤติกรรมที่เคยถูกมองว่าเป็นของคนรักเพศเดียวกัน เช่น การยอมรับเพื่อนที่เป็นเกย์ การเพิ่มความใกล้ชิดทางอารมณ์ และการลดการใช้ความรุนแรง
(โฮ-โม-โฟ-เบีย)
หมายถึง อคติ ความเกลียดกลัวคนรักเพศเดียวกันอันเกิดมาจากการหล่อหลอมของสังคม ค่านิยมทางวัฒนธรรมและศาสนา บางครั้งอาจพัฒนาไปสู่กฎหมายข้อห้ามหรือแม้กระทั่งความรุนแรงต่อคนรักเพศเดียวกัน
คำว่า Homophobia ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรกโดย George Weinberg จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ในหนังสือ Society and The Healthy Homosexual (1972)
แม้ว่าคำปัจจัย -phobia จะถูกใช้เพื่ออธิบายความกลัวอันไร้เหตุผล แต่ในกรณีของ Homophobia กินความหมายอย่างกว้างตั้งแต่ระดับไม่พอใจเล็กน้อย ไปจนถึงความรังเกียจเดียดฉันท์คนที่มีลักษณะดึงดูดต่อคนรักเพศเดียวกัน
ปัจจุบันแนวคิดที่เกิดจาก Homophobia ยังคงส่งผลกระทบอย่างมากต่อคนรักเพศเดียวกันในหลายพื้นที่บนโลก และสิ่งที่จะทำให้แนวคิดนี้บรรเทาเบาบางลงได้คือแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการมองเพื่อนมนุษย์อย่างเท่าเทียมเสมอหน้ากัน
(ไอ-เดน-ทิ-ตี้ ไคร-ซิส)
ภาวะวิกฤตอัตลักษณ์ เป็นประสบการณ์ที่ซับซ้อนและมีหลากหลายมิติในชีวิตมนุษย์ แม้ว่าเราจะมุ่งเน้นไปที่มิติทางเพศในที่นี้ แต่สำคัญที่ต้องเข้าใจว่า การค้นหาตัวตนนั้นครอบคลุมหลายด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ความเชื่อ วัฒนธรรม หรือแม้แต่บทบาททางสังคม
ในมิติเรื่องเพศ Identity Crisis เป็นช่วงเวลาแห่งการสำรวจและทำความเข้าใจอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติของการเติบโตและพัฒนาตน ไม่ใช่ความผิดปกติหรือความสับสน แต่เป็นโอกาสในการค้นพบและยอมรับตัวตนที่แท้จริง
ประสบการณ์นี้อาจเกิดขึ้นเมื่อบุคคลเริ่มตระหนักว่าความรู้สึกหรืออัตลักษณ์ของตนอาจแตกต่างจากบรรทัดฐานทางสังคมหรือความคาดหวังที่เคยมี ตัวอย่างเช่น:
1. วัยรุ่นที่ค้นพบว่าตนมีความดึงดูดทางเพศที่หลากหลาย
2. บุคคลที่เริ่มสำรวจความเป็นไปได้ของการเป็นคนข้ามเพศ
3. ผู้ที่กำลังทำความเข้าใจกับอัตลักษณ์แบบ non-binary
4. บุคคลที่พบว่าความดึงดูดทางเพศของตนมีความยืดหยุ่นและอาจเปลี่ยนแปลงได้
5. ผู้ที่เริ่มตั้งคำถามกับบทบาททางเพศที่สังคมคาดหวัง
กระบวนการนี้เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาตนเอง แม้อาจมีความท้าทายและความไม่แน่นอน แต่มักนำไปสู่ความเข้าใจตนเองที่ลึกซึ้งขึ้น การยอมรับในตัวตน และความสุขที่แท้จริง
สำคัญที่ต้องเข้าใจว่า การค้นหาอัตลักษณ์ทางเพศเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการค้นหาตัวตนโดยรวม บุคคลหนึ่งอาจกำลังเผชิญกับ Identity Crisis ในหลายมิติพร้อมกัน เช่น กำลังค้นหาเป้าหมายในชีวิต ตั้งคำถามกับความเชื่อทางศาสนา หรือพยายามสร้างสมดุลระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมกับสังคมสมัยใหม่
การสนับสนุนและเปิดใจยอมรับจากคนรอบข้างมีส่วนสำคัญในการช่วยให้บุคคลผ่านช่วงเวลาแห่งการค้นหาตัวตนนี้ไปได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นในมิติใดก็ตาม การเน้นย้ำว่านี่เป็นกระบวนการเรียนรู้และเติบโตที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ความสับสนหรือความผิดปกติ จะช่วยลดการตีตราและส่งเสริมความเข้าใจที่ดีขึ้นต่อประสบการณ์ของผู้ที่กำลังค้นหาอัตลักษณ์ของตนเอง
(อิน-เตอร์-เซ็กส์)
ความหมาย: บุคคลที่มีลักษณะทางเพศที่ไม่สอดคล้องกับการจำแนกเพศแบบขั้วตรงข้ามระหว่างเพศชายและเพศหญิงตามแนวคิดแบบดั้งเดิม ทั้งในแง่ของรูปร่างหน้าตา ลักษณะของอวัยวะเพศภายนอก องค์ประกอบทางพันธุกรรม หรือระดับฮอร์โมนในร่างกาย
บุคคล Intersex บางคนอาจมีอวัยวะเพศที่มีลักษณะผสมระหว่างเพศชายและเพศหญิง บางคนอาจมีอวัยวะเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด หรือมีระดับฮอร์โมนที่แตกต่างจากเพศที่ถูกกำหนดจากรูปลักษณ์ภายนอก นอกจากนี้ บางคนอาจมีลักษณะทางเพศที่อยู่ระหว่างเพศชายและเพศหญิงอย่างเห็นได้ชัด
ภาวะ Intersex เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติในมนุษย์ทุกเชื้อชาติและวัฒนธรรม แม้สาเหตุของภาวะนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ทุกกรณีล้วนเป็นสภาวะปกติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทั้งสิ้น
ในปัจจุบัน สังคมเริ่มตระหนักรู้และให้การยอมรับต่อบุคคล Intersex มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจและการยอมรับต่อความหลากหลายทางเพศยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันผลักดันต่อไป เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคนอย่างแท้จริง
(จัส-ทิส)
หมายถึง หลักการของความยุติธรรมและความเสมอภาค ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแสวงหาความเท่าเทียมทางเพศ
ความยุติธรรมเป็นแนวคิดที่ว่าทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม มีสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา หรือสถานะทางสังคม
ในบริบทของความเสมอภาคทางเพศ Justice มุ่งเน้นไปที่การขจัดการเลือกปฏิบัติและอคติทางเพศในทุกมิติของสังคม ไม่ว่าจะเป็นในด้านการศึกษา การจ้างงาน การเมือง หรือกฎหมาย
การส่งเสริมความยุติธรรมทางเพศหมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อให้ทุกคนสามารถแสดงศักยภาพและบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อจำกัดหรืออุปสรรคที่เกิดจากเพศสภาพ
ความยุติธรรมทางเพศจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ชุมชน ประเทศ และระดับสากล
การสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาคสำหรับทุกเพศจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ กฎเกณฑ์ และโครงสร้างที่เป็นอยู่ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของความเท่าเทียมและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน
คุชู
เป็นคำที่ใช้ในบางประเทศแถบแอฟริกาตะวันออก โดยเฉพาะในยูกันดา โดยสมาชิกของชุมชน LGBTQ+ ใช้เป็นคำเรียกแทนตนเอง เป็นคำที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่
ที่มาของคำ
“คุชู” มาจากภาษา Luganda ภาษาพื้นเมืองของยูกันดา แปลว่า “ก้น”
ในอดีต คำนี้ถูกใช้เป็นคำด่า เพื่อดูถูกเหยียดหยามสมาชิก LGBTQ+
ต่อมา สมาชิก LGBTQ+ ในยูกันดาได้นำคำนี้กลับมาใช้ใหม่ เพื่อสร้างความหมายใหม่ เป็นคำเรียกแทนตนเอง แสดงถึงความภาคภูมิใจในเพศสภาพและรสนิยมทางเพศ
***
คำว่า “คุชู” เป็นคำที่ใช้เฉพาะในบางประเทศในแอฟริกาตะวันออก ไม่ควรใช้ในบริบทอื่น
ควรใช้คำนี้ด้วยความเคารพ ไม่ควรใช้เป็นคำด่าหรือดูถูก
มาเวอร์เฟม
เป็นคำที่ใช้เรียกเอกลักษณ์ทางเพศหนึ่ง ซึ่งมักจะใช้เพื่ออธิบายถึงผู้หญิงที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบดั้งเดิม หรือไม่ได้สอดคล้องกับมาตรฐานความเป็นผู้หญิงที่สังคมกำหนดไว้ทั้งหมด
ลักษณะเด่นของคนมาเวอร์เฟม
1.ไม่สอดคล้องกับความเป็นผู้หญิงแบบดั้งเดิม: อาจไม่ชอบแต่งตัวในแบบที่ผู้หญิงส่วนมากแต่ง ไม่ชอบทำกิจกรรมที่สังคมมองว่าเป็นกิจกรรมของผู้หญิง หรืออาจไม่รู้สึกผูกพันกับบทบาททางสังคมของผู้หญิง
2.รู้สึกแตกต่าง: อาจรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น ๆ หรือไม่เข้ากับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สำรวจเอกลักษณ์ของตนเอง: อาจใช้คำนี้เพื่อสำรวจและเข้าใจตัวตนของตัวเองมากขึ้น
เหตุใดจึงมีการใช้คำว่า มาเวอร์เฟม
– ขยายขอบเขตของความเป็นผู้หญิง เพื่อให้ความหมายของความเป็นผู้หญิงมีความหลากหลายมากขึ้น
– สร้างพื้นที่ให้กับผู้หญิงที่รู้สึกแตกต่าง เพื่อให้ผู้หญิงเหล่านี้มีพื้นที่ในการแสดงออกและยอมรับในตัวตนของตนเอง
มาเวอร์เฟมแตกต่างจากเฟมินีน (Feminine) อย่างไร
-เฟมินีน: มักจะหมายถึงลักษณะที่เป็นผู้หญิงตามแบบแผนทางสังคม
-มาเวอร์เฟม: หมายถึงลักษณะที่เป็นผู้หญิง แต่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กรอบความคิดแบบดั้งเดิม
ลิธโรแมนทิค
เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เอกลักษณ์ทางเพศที่ใช้ในการอธิบายความรู้สึกทางโรแมนติกที่แตกต่างออกไปจากความรู้สึกทั่วไป
หมายถึงคนที่สามารถรู้สึกถึงความรักหรือความรู้สึกโรแมนติกต่อคนอื่นได้ แต่จะไม่ต้องการหรือรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้รับความรู้สึกนั้นตอบกลับมา
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความรักที่พวกเขารู้สึกจะไม่ได้ต้องการการตอบสนองจากฝ่ายตรงข้าม อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกดีที่ได้รักใครสักคน แต่ไม่ต้องการที่จะให้ความรักนั้นกลายเป็นความสัมพันธ์โรแมนติกที่แท้จริง
ลักษณะเด่นของคนลิธโรแมนติก
- รู้สึกดึงดูดผู้อื่นทางโรแมนติก: อาจรู้สึกประทับใจในบุคลิกภาพ ความสามารถ หรือลักษณะภายนอกของผู้อื่น
- ไม่ต้องการความสัมพันธ์โรแมนติก: ไม่ต้องการความใกล้ชิดทางโรแมนติก หรือการแสดงออกทางความรักแบบทั่วไป
- อาจรู้สึกไม่สบายใจกับความสัมพันธ์โรแมนติก: อาจรู้สึกว่าความสัมพันธ์โรแมนติกเป็นภาระ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกอึดอัด
- อาจรู้สึกว่าความรักโรแมนติกเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น: อาจให้ความสำคัญกับมิตรภาพ หรือความสัมพันธ์แบบอื่นมากกว่า
สิ่งที่ควรทำความเข้าใจ - ลิธโรแมนติกไม่ใช่โรค: เป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบของความรู้สึกทางโรแมนติกที่หลากหลาย
- ไม่มีถูกผิด: ทุกคนมีวิธีแสดงออกทางความรู้สึกที่แตกต่างกัน
- การยอมรับตนเอง: การยอมรับและเข้าใจในเอกลักษณ์ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ
(นอน-ไบ-นา-รี)
หมายถึง การระบุเพศที่ไม่จำกัดอยู่ในขอบเขตของเพศชายหรือเพศหญิงเท่านั้น เป็นการมองเพศในสเปคตรัมที่กว้างขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้ากับมาตรฐานสองเพศ (binary gender)
คนที่ระบุตัวเองว่าเป็นนอนไบนารีอาจรู้สึกว่าพวกเขาไม่เข้ากับหมวดหมู่ของเพศชายหรือเพศหญิงอย่างชัดเจน อาจรู้สึกว่ามีคุณลักษณะของทั้งสองเพศผสมผสานกัน บางคนอาจรู้สึกว่าไม่มีเพศหรืออยู่นอกเหนือขอบเขตของการระบุเพศทั้งหมด
การระบุเพศแบบนอนไบนารีไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการมีความสนใจทางเพศหรือความต้องการทางเพศ (sexual orientation) ของบุคคลนั้น คนนอนไบนารีสามารถมีความสนใจในเพศใดๆ ก็ได้
นอนไบนารีเป็นเรื่องของการรับรู้ตัวตน และการแสดงออกทางเพศที่แตกต่างจากมาตรฐานเพศชายและเพศหญิงที่สังคมกำหนดไว้
(แพน-เซ็ก-ชวล)
หมายถึง ผู้ที่ไม่ปิดกั้นว่าคนรักจะเป็นเพศอะไร มีความสนใจในผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศใดก็ได้
(โพ-ลี-อา-มอ-รี่)
แนวคิดในการมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์หรือทางเพศกับหลายคนพร้อมกัน โดยที่ทุกฝ่ายในความสัมพันธ์ต่างตกลงรับรู้และยินยอมในสถานะนี้
คำนี้มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ poly ที่หมายถึง “หลาย” และภาษาละติน amor หมายถึง “ความรัก”
Polyamory แตกต่างจากการนอกใจ เนื่องจากมีหลักการใหญ่ๆ เน้นไปที่ การเปิดเผยและการให้ความเคารพต่อกันและกัน ไม่โกหก ทุกคนรู้ข้อมูลที่เป็นจริง และมีสิทธิในการตัดสินใจของตัวเอง
ความสัมพันธ์แบบ Polyamory สามารถปรากฏในหลายรูปแบบ รวมถึงความสัมพันธ์ที่ทุกคนมีความรักหรือเพศสัมพันธ์ต่อกันและกัน (ในหนึ่งกลุ่มผู้คน) หรือความสัมพันธ์ที่บางคนมีความรักหรือเพศสัมพันธ์กับคนนอกความสัมพันธ์เดิม
(ทรานส์-เจน-เดอร์)
คนข้ามเพศ คนที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้่อตัวร่างกายจากเพศกำเนิด
(ยึดจากอวัยวะเพศ) แบ่งเป็น
Trans man – มีเพศกำเนิดหญิง เปลี่ยนแปลงเนื้อตัวร่างกายไปเป็นชาย
Trans women – มีเพศกำเนิดชาย เปลี่ยนแปลงเนื้อตัวร่างกายไปเป็นหญิง
การเปลี่ยนแปลงเนื้อตัวร่างกายมีได้หลายระดับ ตั้งแต่ รัดหน้าอก ใส่วิก ใส่ซิลิโคนเสริม ไปจนถึงรับฮอร์โมน ศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า เสริมหน้าอก หรือผ่าตัดแปลงเพศ ทั้งนี้การจะเปลี่ยนแปลงไปถึงระดับไหน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเจ้าตัว สถานะทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และปัจจัยอื่นๆ มากมาย และการเปลี่ยนไปถึงขั้นตอนไหน ไม่ได้มีผลกับความเป็น ‘ชาย’ หรือความเป็น ‘หญิง’ ที่มากกว่าหรือน้อยกว่ากันแต่ประการใด การข้ามเพศนั้นขยายพื้นที่ไปถึงการพัฒนาทางด้านจิตใจ การยอมรับและเข้าใจตนเอง
กระบวนการข้ามเพศ จำเป็นมากสำหรับคนที่มีความทุกข์ใจในเพศสภาพ (Gender Dysphoria) ความไม่พอใจที่อัตลักษณ์ทางเพศของตนไม่ตรงกับเพศโดยกำเนิดอาจจะก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าเข้าสังคม ไม่จนถึงภาวะซึมเศร้าวิตกกังวล
ทั้งนี้ ไม่ควรหาซื้อฮอร์โมนมาใช้เองเพราะอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงทางสุขภาพจากการบริโภคฮอร์โมนเกินขนาด
Undetectable = Untransmittable
“ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่” สโลแกนสำคัญจากการประชุมเอดส์โลกที่กรุงปารีส
มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ผู้ที่มีเชื้อ HIV ถ้าได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างเหมาะสมถูกต้อง เป็นเวลา 6 เดือน ขึ้นไป และมีปริมาณเชื้อในเลือดน้อยกว่า 40-50 ตัวต่อซีซีของเลือด จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้
………………………
ว่าด้วย U = U
ไม่เจอ=ไม่แพร่
สำหรับ ผู้ติดเชื้อ HIV: เป็นการส่งเสริมให้มีแรงจูงใจสูงในการรักษาต่อเนื่องโดยการกินยาต้านไวรัสและตรวจสุขภาพประจำปี
การรักษาที่มีประสิทธิภาพนำไปสู่ผล “ตรวจไม่เจอเชื้อ” ซึ่งเสริมสร้างคุณภาพชีวิตในหลายด้าน รวมถึงความมั่นใจ การมีครอบครัว สุขภาพจิตที่ดีขึ้น และความกล้าในการเปิดเผยสถานะ HIV กับคู่นอน
สำหรับประชาชนทั่วไป: ส่งเสริมความกล้า ที่จะเดินเข้าไปตรวจหาเชื้อ HIV และเข้าสู่กระบวนการรักษาทันทีหากพบเชื้อ นำไปสู่การรักษาจน “ตรวจไม่เจอเชื้อ” ซึ่งช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ปกติและมีครอบครัวได้
สำหรับสังคม: เข้าใจเรื่อง U = U (Undetectable = Untransmittable) ในสังคมนำไปสู่การลดการกีดกันและลดความรังเกียจต่อผู้ติดเชื้อ สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาและทำงานได้ปกติโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น.
การรับรู้ว่าผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาสามารถมีสุขภาพที่แข็งแรงและไม่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพไปมากกว่าคนที่ไม่ติดเชื้อ จะช่วยเปลี่ยนมุมมองของสังคมต่อโรค HIV/AIDS ให้เป็นเชิงบวกมากขึ้น.
ที่มา : https://redcross.or.th/
www.thaiaidssociety.org