Watch and Learn: Doi Boy “สูญหายในสายตา”

ชีวิตของศรนั้นแสนจะสามัญธรรมดา เขาทำงานรับจ้างสารพัดสารเพเท่าที่หาได้ ก่อนจะที่มาเริ่มงานในบาร์เกย์ ควบกับงานเด็กนวด เพราะได้เงินดีและน่าจะเป็นทางที่สนองความฝันของเขาได้ง่ายที่สุด แม้กระทั่งความฝันของเขายังเรียบง่าย ศรต้องการพาสปอร์ตเพื่อให้เขาขึ้นเครื่องบินพาแฟนไปเที่ยวได้ ที่จริงมันควรจะง่ายระดับที่ไม่น่าเรียกว่าความฝันด้วยซ้ำ หากเขาไม่ใช่ชาวไทใหญ่ที่หนีสงครามชายแดนมาทำงานในเชียงใหม่ มันควรจะง่ายเกินกว่าที่เขาจะต้องรักษาสัมพันธ์อันดีไว้กับพี่จิ ลูกค้าเงินหนักจ่ายดีคนนั้น

พี่จิเป็นตำรวจธรรมดา หน้าที่การงานมั่นคง มีบ้านขนาดกำลังดี เมียคนสวยของพี่จิท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที ทุกอย่างจะยิ่งดีกว่านี้อีก หากฝีมือในการ “อุ้ม” ของพี่จิไม่แนบเนียนจนถึงขั้นที่ “นาย” ไว้วางใจจนต้องไหว้วานแกมบังคับให้เขาลงมือกับวุธ โดยไม่มีสัญญาณใดบอกได้เลยว่ามันจะไม่มีครั้งต่อ ๆ ไปอีก

วุธเองก็เป็นประชาชนธรรมดาทั่วไป การที่เขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับนักกิจกรรมที่ถูกบังคับสูญหายและออกมาเรียกร้องไม่ให้ใครก็ตาม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำการอันโหดร้ายผิดมนุษย์เพื่อปิดปากคนเห็นต่าง ก็แสนจะธรรมดา สิ่งที่ออกจะไม่ธรรมดาอยู่สักหน่อยในเรื่องนี้คือการอุ้มหายยังคงเกิดขึ้นต่อ อย่างที่มันเคยเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน และมันกำลังจะเกิดขึ้นกับวุธ

เราไม่อาจพูดได้ว่า Doi Boy เป็นหนังที่เล่าเรื่องราวแปลกใหม่ ทั้งตัวละครและสถานการณ์ในหนังไม่เคยเป็นของใหม่ เราทุกคนต่างรู้ดีว่าทั้งคนไร้สัญชาติผู้แทบไม่มีทางเลือกในชีวิต เจ้าหน้าที่ผู้เป็นดั่งมือเท้าทำงานสกปรกให้รัฐ และนักกิจกรรมที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้สังคม ต่างมีตัวตนอยู่จริงและชัดเจนจนแทบไม่ต้องจินตนาการ เป็นเรื่องตลกร้ายที่บ่อยครั้ง คนพวกนี้ก็ดำรงอยู่อย่างล่องหนในสายตาของสังคม ด้วยสถานการณ์ชีวิตที่ยากเย็นเป็นธรรมดาของพวกเรา บังคับให้พวกเขาสูญหายไปในการมองเห็น ทั้งที่หลักฐานการดำรงอยู่ของคนพวกนี้ชัดเจนในระดับแจ่มแจ้งแทงตา เราต่างรู้ดีว่าพวกเขามีตัวตน แต่ก็แทบไม่เคยสนใจเลยว่าคนพวกนี้อาจจะเคยเดินสวนกันกับเรา มีชีวิตสามัญปะปนอยู่ในหมู่คนธรรมดาที่ไม่สลักสำคัญอะไร แม้ว่าพวกเขาอาจจะเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของเราอย่างนึกไม่ถึง 

จะว่าไปมันคงไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้ชมแต่เพียงผู้เดียว  เพราะเราต่างก็รู้ดีว่ามีสิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่บนจอภาพคอยบังคับให้พวกเรามองไม่เห็นอยู่อีกทอดหนึ่ง และนั่นก็เป็นเรื่องที่เราโดนกันจนเป็นธรรมดาอีกเช่นกัน

 แม้ว่านี่จะเป็นภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกของนนทวัฒน์ นำเบญจพล ที่ไม่ใช่สารคดี แต่เขาก็ยังคงรักษามาตรฐานในการถ่ายทอดเรื่องราว ประเด็น และความจริงอันน่าเจ็บปวดไว้ได้อย่างน่าประทับใจ สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในงานเรื่องแต่งคราวนี้ของเขาก็คือ ความปราณีตบรรจง ทั้งการถักทอเรื่องราวของตัวละครคนธรรมดาสามคนเข้าไว้ด้วยกัน เทคนิคทางภาพ เสียง การลำดับเรื่องราวล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าน่าทึ่ง โดยเฉพาะการแสดงของตัวละครที่มีบทบาททั้งมากน้อยในเรื่อง แค่เฉพาะการแสดงเป็นตัวละครศร ของอวัช รัตนปิณฑะ ที่เปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อก็ชวนให้รู้สึกว่าน่าเสียดาย หากเวทีรางวัลจะมองข้ามไป เพียงเพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้เข้าฉายโรง และไม่ตรงกับเกณฑ์การพิจารณารางวัล เขาเปลี่ยนบทบาทจากทั้งทหารเด็กไม่เจนโลก หนุ่มบาร์ลีลาเฉียบขาด แรงงานสู้ชีวิต ไปจนถึงเด็กวัยรุ่นธรรมดาสามัญได้ราวกับว่าศรกำลังสวมห่มเนื้อหนังของนักแสดงคนนี้อยู่

Doi Boy เป็นข้อพิสูจน์ “อีกครั้ง” ต่อทั้งผู้ชมและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยว่า คนทำหนังไทยนั้นพร้อมจะทำหนังที่มีคุณภาพและเนื้อหาเข้มข้นไม่จำเจได้อย่างงดงาม โดยไม่ต้องเดินตามสูตรหรือแกะบทเรียนความสำเร็จใด ๆ ที่รังแต่จะพาอุตสาหกรรมเข้าสู่วังวนแห่งการแห่ทำตามกัน หากแต่คนทำหนังยังคงต้องการพื้นที่และอิสระในการสร้างสรรค์จากทั้งผู้ชม ระบบจัดฉาย และนโยบายของรัฐที่เอื้อให้ “ศิลปะวัฒนธรรม” (อันหมายถึงผู้คนและสินค้าทางวัฒนธรรมที่พวกเขาจะพัฒนาขึ้นมาได้) เติบโตต่อไปอย่างมั่นคง เพราะในกรณีของหนังเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผู้จัดจำหน่ายต้องหาทางรอดให้หนังด้วยการส่งมันลงสรีมมิ่ง เพื่อไม่ให้หนังขาดทุนจากการจัดฉายโรงซึ่งมีค่าใช้จ่ายมหาศาลและสัดส่วนการแบ่งรายได้ที่ไม่เป็นธรรม

ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า “ทำหนังให้ดีเดี๋ยวก็มีคนมาดู” ออกจะเป็นคำกล่าวที่มีน้ำหนักเบาหวิวเกินหน้าความนิยมไปมากโขทีเดียว

Doi Boy
2023, นนทวัฒน์ นำเบญจพล

ความยาว 98 นาที
สตรีมบน Netflix

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner
Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง