ทำความรู้จักกับ Complex Marriage ชุมชนโอเนดะการก้าวข้ามขอบเขตทางเพศและการแต่งงานไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์

ในยุคที่การพูดถึงเรื่องเพศยังเป็นที่ต้องห้าม ชุมชนโอเนดะ (Oneida Community) ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการทดลองทางสังคมและเพศที่ก้าวล้ำ โดยชุมชนนี้ก่อตั้งโดย John Humphrey Noyes ในปี 1848 ณ เมือง Oneida, New York ชุมชนนี้สะท้อนให้เห็นว่าการก้าวข้ามขอบเขตทางเพศและการแต่งงานไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์

นอยส์ไม่ได้เพียงแต่สร้างชุมชนที่ผสมผสานศาสนากับสังคมนิยม, แต่ยังปลูกฝังความเท่าเทียมระหว่างเพศผ่านแนวคิด “การแต่งงานของกลุ่ม” หรือ complex marriage โดยในระบบนี้ ไม่มี “สามี” หรือ “ภรรยา” ตามความเข้าใจดั้งเดิม  ทุกคนเป็นคู่ของกันและกัน เป็นรูปแบบที่ทำลายกรอบของการแต่งงานแบบเดิมๆ และเปิดโอกาสให้เกิดความสัมพันธ์ที่อิสระและเท่าเทียม

นอกจากนี้ชุมชนโอเนดะยังนำเสนอแนวคิดเรื่อง “male continence” การปฏิบัติทางเพศที่ตั้งใจหลีกเลี่ยงการหลั่งเชื้อ เป็นการควบคุมการสืบพันธุ์อย่างมีสติ 

และ community child-rearing การเลี้ยงดูเด็กที่เน้นการแบ่งปันความรับผิดชอบกันในชุมชน

ต้องยอมรับว่าแม้ชุมชนโอเนดะจะสิ้นสุดลงในปี 1881 จากความขัดแย้งภายในและความกดดันจากภายนอก แต่มรดกของพวกเขายังคงอยู่ในวัฒนธรรมป๊อปและการอภิปรายเรื่องเพศศึกษาเสมอๆ ชุมชนนี้ไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นตัวอย่างของความกล้าหาญในการทดลองทางสังคมที่ยังคงเป็นที่สนใจในยุคสมัยใหม่

Complex Marriage หนึ่งในแนวคิดหลักของชุมชนโอเนดะ  เป็นระบบการแต่งงานที่ไม่เหมือนใคร โดยแนวคิดนี้ได้รับการสร้างสรรค์และนำมาใช้โดยจอห์น เฮเมอร์ นอยส์ (John Humphrey Noyes), ผู้ก่อตั้งชุมชน ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายขอบเขตของการแต่งงานแบบดั้งเดิมและสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมและเปิดกว้างมากขึ้น 

โดยมีลักษณะสำคัญคือ 

1. ไม่มีคู่แต่งงานแบบเฉพาะ 

ในชุมชนโอเนดะ ไม่มีการแต่งงานแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ละบุคคลในชุมชนสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศและอารมณ์กับสมาชิกคนอื่นๆ ได้โดยไม่มีข้อจำกัด

2. ความรับผิดชอบร่วมกัน

ระบบนี้มุ่งเน้นไปที่ความรับผิดชอบร่วมกันในชุมชนมากกว่าความสัมพันธ์เฉพาะตัว ทุกคนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ครอบครัว” ขนาดใหญ่

3. การปฏิบัติทางเพศที่มีความรับผิดชอบ

แม้ว่าจะมีความเปิดกว้างในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ชุมชนนี้ก็ยังมีการควบคุมในเรื่องการเจริญพันธุ์ โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า “male continence” ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติทางเพศโดยไม่มีการหลั่งเชื้อ

4. การเลือกคู่ทางเพศ

แม้ว่าจะมีความเปิดกว้าง แต่การเลือกคู่ทางเพศไม่ได้เกิดขึ้นโดยอิสระทั้งหมด บางครั้งก็มีการควบคุมหรือประสานงานโดยผู้นำชุมชน

5. การเลี้ยงดูเด็ก

เด็ก ๆ ถูกเลี้ยงดูโดยชุมชนเป็นหลัก ไม่ใช่โดยพ่อแม่ที่เป็นบิดามารดาทางชีววิทยาโดยตรง

Complex Marriage ถูกมองว่าเป็นการทดลองทางสังคมที่ก้าวหน้าและท้าทายค่านิยมดั้งเดิม แต่ก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งและคำวิจารณ์จากสังคมภายนอก ระบบนี้สิ้นสุดลงเมื่อชุมชนโอเนดะยุติการดำเนินงานในปี 1881 แต่แนวคิดและการปฏิบัติของพวกเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชุมชนยูโทเปียนและการศึกษาทางสังคมวิทยามาเสมอ 

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner

แชร์บทความนี้

Tag

Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง