สิทธิ เสรีภาพ และสุขภาพ: มุมมองใหม่ต่อการทำแท้งในประเทศไทย

การตีตราผู้ที่ทำแท้งเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทยมายาวนาน กลุ่มคนเหล่านี้มักถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ดี ถูกตัดสิน ถูกประณาม ส่งผลต่อสุขภาพจิตและการเข้าถึงบริการทำแท้งที่ปลอดภัย

ท่ามกลางการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและทัศนคติสังคม เพื่อสนับสนุนสิทธิของผู้ที่ตั้งครรภ์ในการเข้าถึงบริการทำแท้งที่ปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ต้องเผชิญกับการถูกตีตราหรือเลือกปฏิบัติ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตีตราผู้ทำแท้ง

1. ทัศนคติทางเพศ: ทัศนคติที่มองว่าคนเพศกำเนิดหญิงควร “รักนวลสงวนตัว” และ “ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน” ทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานถูกมองว่า “ผิด” การศึกษาโดยองค์การยูนิเซฟ (UNICEF) ชี้ให้เห็นว่าทัศนคติเหล่านี้ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในวัยเยาว์และการตัดสินใจทำแท้ง

2. การขาดอำนาจในการเจรจาต่อรองเรื่องการคุมกำเนิด: คนเพศกำเนิดหญิงมักไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด ในขณะที่ผู้ชายมักไม่ให้ความสำคัญกับการคุมกำเนิดเท่าที่ควร ส่งผลให้โอกาสในการคุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพลดลง นำไปสู่การตั้งครรภ์ไม่พร้อมและการทำแท้ง

3. กฎหมาย: กฎหมายเก่าเกี่ยวกับการทำแท้งที่เข้มงวด สร้างความเข้าใจผิดว่าการทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม แม้ปัจจุบันจะมีการปรับปรุงกฎหมายในปี พ.ศ. 2564 ให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ทัศนคติเดิมยังคงฝังรากลึก

ผลกระทบของการตีตราผู้ทำแท้ง

1. สุขภาพจิต: ผู้ที่ถูกตีตรา มักมีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และรู้สึกผิด ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความสัมพันธ์ทางสังคม

2. การเข้าถึงบริการ: ผู้ที่กลัวการถูกตีตรา มักไม่กล้าเข้ารับบริการทำแท้งที่ปลอดภัย ส่งผลให้ไปทำแท้งเถื่อน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มีรายงานว่าแพทย์จำนวนมากยังลังเลที่จะทำหรือสนับสนุนการทำแท้ง เนื่องจากความเชื่อส่วนบุคคลหรือแรงกดดันจากสังคม

3. การเลือกปฏิบัติ: ผู้ที่ทำแท้งอาจถูกเลือกปฏิบัติในสังคม เช่น ถูกไล่ออกจากงาน หรือถูกกีดกันจากเพื่อนและครอบครัว การใช้ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามทำให้รู้สึกผิดและอับอาย

แนวทางแก้ไข

1. การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ: จำเป็นต้องรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับเพศวิถีศึกษา การคุมกำเนิด และสิทธิทางเพศ ทั้งในสถานศึกษาและในวงกว้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการทำแท้งและส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ โดยเน้นย้ำว่าการทำแท้งเป็นสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง

2. การปรับปรุงกฎหมายและการบังคับใช้: กฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้งที่ได้รับการแก้ไขแล้ว ควรมีการบังคับใช้อย่างจริงจังและมีการติดตามประเมินผล โดยสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการ

3. การสนับสนุน: ผู้ที่ต้องการทำแท้งควรได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน สังคม และบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งในแง่ของข้อมูลที่ถูกต้อง คำปรึกษา และการดูแลสุขภาพกายและจิต เพื่อช่วยบรรเทาความกังวลและความรู้สึกผิด

การแก้ปัญหาการตีตราผู้ทำแท้งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป ในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิและสุขภาพ เพื่อสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของทุกคน ทำให้ผู้คน โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์ สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองได้อย่างอิสระ ปราศจากการถูกตัดสินหรือประณาม เพื่อคุ้มครองสิทธิและสุขภาพของผู้คนทุกคนในสังคม

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner
Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง