ภาษาสร้างความเท่าเทียมทางเพศ เมื่อคำพูดเปลี่ยน โลก็เปลี่ยน

คุณเคยสังเกตไหมว่าในซีรีส์ฝรั่งยุคใหม่ เช่น “Brooklyn Nine-Nine” หรือ “The Good Place” ตัวละครมักใช้คำว่า “police officer” แทน “policeman” หรือ “firefighter” แทน “fireman” อยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ ในซีรีส์อื่นๆ อย่าง “The Bridge” ยังมีการใช้คำสรรพนาม “hen” ในภาษาสวีเดิศ ซึ่งเป็นคำสรรพนามที่เป็นกลางทางเพศ หรือใน “Silent Witness” ก็มีการถามเรื่องการใช้คำสรรพนามที่ตัวละครต้องการ นี่ไม่ใช่แค่เทรนด์การใช้ภาษา แต่เป็นความพยายามในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศผ่านภาษาที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน

ในโลกของภาพยนตร์และซีรีส์ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตัวละครหญิงได้รับบทบาทที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ไม่ใช่แค่ภรรยาหรือแม่อีกต่อไป แต่เป็นผู้นำ นักวิทยาศาสตร์ หรือฮีโร่

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการเลือกนักแสดงที่เป็น LGBTQ+ จริงๆ มาแสดงในบทบาทที่เป็น LGBTQ+ แทนการใช้นักแสดงที่เป็น “สเตรต” (Straight) มาแสดง (ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงในวงการบันเทิง) แต่จุดมุ่งหมายคือเพื่อสร้างการเป็นตัวแทนที่แท้จริงและลดการตีตราทางสังคม

แต่ทำไมการใช้ภาษาถึงสำคัญนัก? ลองนึกภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็นนักบิน ถ้าเธอได้ยินแต่คำว่า “นักบินชาย” อยู่เสมอ เธออาจคิดว่าอาชีพนี้ไม่เหมาะกับเธอ แต่ถ้าเราใช้คำว่า “นักบิน” โดยไม่ระบุเพศ เธอก็จะรู้สึกว่าเธอก็มีโอกาสเป็นได้เช่นกัน

ในวงการบันเทิงไทย เราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน ซีรีส์วายหลายเรื่องไม่เพียงนำเสนอความรักของคู่ชาย-ชาย แต่ยังพยายามใช้ภาษาที่ละเอียดอ่อนมากขึ้นในการพูดถึงเพศสภาพและรสนิยมทางเพศ เช่น การใช้คำสรรพนามที่หลากหลายมากขึ้น หรือการหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ตีตรากลุ่ม LGBTQ+ ตัวอย่างเช่น ซีรีส์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” ที่นำเสนอความรักของวัยรุ่นชายสองคนอย่างละเอียดอ่อน โดยไม่ใช้คำเรียกที่เป็นการตีตราหรือล้อเลียน

นอกจากนี้ ในภาษาไทยเอง แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องคำที่บ่งบอกเพศเหมือนภาษาอังกฤษ แต่เราก็มีคำที่สะท้อนอคติทางเพศอยู่ไม่น้อย เช่น “แม่บ้าน” ที่มักถูกใช้เรียกผู้หญิงที่ทำงานบ้าน ทั้งที่ผู้ชายก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้เช่นกัน การเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ผู้ดูแลบ้าน” อาจช่วยลดอคติทางเพศลงได้

การใช้ภาษาที่เท่าเทียมไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แต่เป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่เคารพความหลากหลายและสิทธิมนุษยชน เมื่อเราเปลี่ยนวิธีพูด เราก็กำลังเปลี่ยนวิธีคิดไปพร้อม ๆ กัน และเมื่อความคิดเปลี่ยน การกระทำก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาที่เท่าเทียมในสังคมไทยยังคงมีความท้าทาย ทั้งจากทัศนคติดั้งเดิมและข้อจำกัดทางภาษา แต่การเริ่มต้นใช้คำศัพท์ใหม่ๆ ที่เป็นกลางทางเพศมากขึ้น เช่น “คู่ชีวิต” แทน “สามี/ภรรยา” ในบริบทของคู่รักเพศเดียวกัน ก็เป็นก้าวสำคัญในการสร้างการยอมรับและความเข้าใจ

นอกจากนี้ การใช้ภาษาที่เท่าเทียมยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย การใช้คำที่เป็นกลางและไม่เลือกปฏิบัติในเอกสารทางกฎหมายและนโยบายสาธารณะ สามารถนำไปสู่การรับรองสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ อย่างเท่าเทียมมากขึ้น

ความหลากหลายภายในกลุ่ม LGBTQ+ เองก็เป็นอีกประเด็นที่สำคัญ การเข้าใจความหมายของคำว่า Queer (ผู้ที่ไม่ยึดติดกับเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศแบบดั้งเดิม), Intersex (คนที่มีลักษณะเพศทางชีววิทยา (biological sex) ไม่ชัดเจน ) หรือ Asexual (คนที่ไม่รู้สึกดึงดูดทางเพศต่อบุคคลอื่น หรือรู้สึกดึงดูดน้อย) จะช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของอัตลักษณ์ทางเพศมากขึ้น และสามารถใช้ภาษาที่เคารพความแตกต่างได้อย่างเหมาะสม

ในฐานะผู้บริโภคสื่อ เราสามารถมีส่วนร่วมได้ด้วยการสนับสนุนรายการหรือภาพยนตร์ที่นำเสนอความหลากหลายและใช้ภาษาอย่างระมัดระวัง และในชีวิตประจำวัน เราก็สามารถเริ่มจากการใช้ภาษาที่เคารพความแตกต่างและไม่เลือกปฏิบัติ เพียงเท่านี้ เราก็กำลังช่วยสร้างโลกที่เท่าเทียมและน่าอยู่สำหรับทุกคนแล้ว

การเปลี่ยนแปลงทางภาษาอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างสังคมที่เคารพและยอมรับความหลากหลาย เมื่อเราใส่ใจกับคำพูดของเรา เราก็กำลังสร้างโลกที่ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างแท้จริง

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner

แชร์บทความนี้

Tag

Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง