สุขสันต์วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติค่ะ
Sir Francis Bacon (1561-1626)
ชายผู้เป็นทั้งปราชญ์ นักกฎหมาย และรัฐบุรุษผู้นี้มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะผู้ริเริ่มแนวคิดการให้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning) หรือก็คือการจับเอาประสบการณ์ส่วนตัวมาตั้งสมมติฐาน ก่อนที่จะทำการรวบรวมข้อมูลและตั้งทฤษฎี แนวคิดนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในแวดวงวิทยาศาสตร์จนกลายเป็นรากฐานของกระบวนทางวิทยาศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ Bacon จึงได้รับการขนานนามเป็น “บิดาแห่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์”
ชัยชนะทางวิทยาศาสตร์ของเขายิ่งใหญ่มากเสียจนคนไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงที่ว่า เรานั้นมีบรรดา “ผู้ช่วย” และ “คนรับใช้” ชายหน้าตาดีรายล้อมอยู่มากมาย ส่วนหนึ่งในจดหมายที่เขาส่งถึงแม่และน้องสาวเปิดเผยว่าเขามีความสัมพันธ์กับชายเหล่านี้ยิ่งกว่าเพื่อนร่วมงานหรือนาย-บ่าว กรณีที่โด่งดังที่สุดคือการที่เขาได้แรงบันดาลใจจากขุนนางหนุ่มหน้าตาดี Sir Tobie Matthew ในการเขียนความเรียงอันโด่งดังชื่อ “ว่าด้วยมิตรภาพ” (Of Friendship)
อย่างไรก็ดี หากไม่ได้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเขา หลายสิ่งหลายอย่างที่เรารู้ในปัจจุบันอาจจะยังอยู่ในความมืดมิดมาจนถึงทุกวันนี้
Sara Josephine Baker (1873-1945)
แพทย์หญิงที่ใคร ๆ ก็เรียกเธอว่า “ดอกเตอร์โจ” ผู้นี้เป็นผู้อำนวยการคนแรกของกรมอนามัยเด็กแห่งนครนิวยอร์ก แรกเริ่มเธอเข้าโรงเรียนแพทย์เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวหลังจากที่พ่อและพี่ชายจากไปด้วยโรคไทฟอยด์ ผลงานโด่งดังของดอกเตอร์โจคือความพยายามในการลดอัตราการเสียชีวิตของทารก ทั้งการฝึกให้บรรดาแม่ในชุมชนแออัดรู้จักวิธีให้นมและทำความสะอาดลูกอย่างถูกต้อง ไปจนถึงคิดค้นต้นแบบของ “นมผง” เพื่อเป็นอาหารทดแทนให้เด็กในขณะที่แม่ออกไปทำงาน (ซึ่งในขณะนั้นมันคือของเหลวที่ประกอบไปด้วย น้ำแคลเซียมคาร์บอเนต แลคโตส และนมวัว) ประมาณการกันว่าเธอช่วยให้เด็กกว่า 90,000 คนรอดชีวิตมาได้ท่ามกลางความย่ำแย่ของระบบสาธารณสุขในช่วงนั้น
แต่ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเธอคือการสืบค้นไปเจอพาหะของโรคไทฟอยด์ ต้นตอของการระบาดในช่วงปี 1906 และนำตัวคนไข้มากักกันโรคได้ก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่ ต่อมากระบวนการทำงานนี้ได้ถูกพัฒนาต่อยอดมาเป็น “เวชศาสตร์ป้องกัน” (Preventive Medicine) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในการควบคุมและป้องกันโรคมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
Baker ใช้ชีวิตร่วมกับ Ida Alexa Ross Wiley โดยนิยามตัวเองว่าเป็น “ผู้หญิงที่อยู่ร่วมกับผู้หญิง” จวบจบบั้นปลายชีวิต
Florence Nightingale (1820-1910)
พยาบาลในสงครามไครเมียผู้ได้ผู้ได้รับฉายาว่า “สตรีแห่งดวงประทีป” (The Lady with the Lamp) คนนี้สร้างชื่อจากการลดอัตราผู้เสียชีวิตระหว่างสงครามจากร้อยละ 42 เหลือเพียงร้อยละ 2 ด้วยเครื่องมือทางสถิติที่เรียกว่า แผนภาพรังผึ้ง (Coxcomb Diagram) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของบรรดาทหารนั้นสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้ด้วยการยกระดับการรักษาความสะอาดขจัดอาการติดเชื้อ
นอกจากความสามารถอันโดดเด่นในเรื่องการอ่านสถิติ Nightingale ยังเป็นผู้นำของเหล่าผู้หญิงกลุ่มแรกที่ได้ทำงานในกองทัพ เป็นหัวหอกในการนำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในปฏิรูประบบสาธารณสุข และวางรากฐานในการพยาบาลจนเป็นระเบียบปฏิบัติที่ยอมรับกันทั่วโลก
เธอเคยเขียนบันทึกเอาไว้ว่า “ฉันเคยอาศัยหลับนอนร่วมเตียงกับเคาน์เตสชาวอังกฤษและหญิงดูแลไร่ชาวปรัสเซีย ไม่มีสตรีคนใดสนใจใคร่รู้ในสตรีด้วยกันเท่ากับฉันอีกแล้ว” ส่วนในบันทึกอีกฉบับที่เธอเขียนถึง Marianne Nicholson ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องก็มีใครความว่า “ฉันไม่เคยรักใครเลยสักคน หากจะมีใครที่ฉันรู้สึกแบบนั้นก็คงจะมีเพียงเธอ”
Alan Turing (1912-1954)
ชื่อของชายผู้ให้กำเนิดคอมพิวเตอร์เครื่องแรกบนโลกผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ LGBT ผู้มีจุดจบอันน่าเศร้า อย่างไรก็ตามเครื่องถอดรหัสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเขาได้รับการประเมินว่ามันทำให้สงครามจบเร็วขึ้นถึง 2 ปี และช่วยชีวิตผู้คนเอาไว้ได้กว่า 14 ล้านคน ทั้งในแนวหน้าและแนวหลัง ด้วยความเร็วในการประมวลผลเพียง 20 นาที จากความเป็นไปได้ในการเข้ารหัสนับพันล้าน
นอกจากเครื่องถอดรหัสแล้ว สิ่งที่ Turing ฝากไว้บนโลกใบนี้คือไอเดียตั้งต้นของการสร้างเครื่องคำนวณอันเป็นรากฐานของดิจิตัลคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน และการทดสอบที่มีชื่อว่า Turing Test หรือก็คือการทดสอบว่าคอมพิวเตอร์มีความสามารถในการคิดเท่ากับมนุษย์หรือไม่ ด้วยการให้คนพิมพ์สนทนากับกลุ่มตัวอย่างที่มีทั้งคนและคอมพิวเตอร์ แล้วดูว่าคนสามารถจับได้หรือไม่ว่าคู่สนทนาเป็นมนุษย์หรือเครื่องจักร การทดสอบนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้ทดสอบคอมพิวเตอร์มาอย่างยาวนานจนเป็นดังต้นกำเนิดของปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน
แม้ว่าบรรดาเพื่อนร่วมงานจะรู้ดีว่าเขาเป็นเกย์ แต่ Turing ก็ถูกจับกุมในข้อหา “กระทำอนาจาร” ในปี 1952 และถูกตัดสินโทษให้ฉีดฮอร์โมนเพื่อแก้ไข “ความผิดปกติ” จนกระทั่ง 2 ปีต่อมาเขาจึงตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เชื่อกันว่าเขากระทำการโดยกัดแอปเปิลฉีดไซยาไนด์ และแอปเปิลผลนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดโลโก้แอปเปิลที่ถูกกัดทิ้งไว้บนผลิตภัณฑ์ของ Apple
Ben Barres (1954-2017)
นักประสาทวิทยาผู้ค้นพบว่าเซลล์เกลียเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่หลากหลายในระบบประสาท จากแต่เดิมที่มีความเข้าใจกันว่ามันทำหน้าที่เป็นเหมือนกาวที่เชื่อสมองเข้าด้วยกันเท่านั้น การค้นพบของเขาปฏิวัติความเข้าใจเกี่ยวกับสมองที่มีอยู่เดิมแทบทั้งหมด
Barres มีเพศกำเนิดเป็นหญิง และได้รับการปฏิบัติย่างไม่เท่าเทียมชายมาตลอด ครั้งหนึ่งที่เขาเคยแก้โจทย์ปัญหาใหญ่ได้ แต่คนกลับคิดว่าแฟนของเขาเป็นคนตีโจทย์แตก เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงจะมีความสามารถมากพอ เขาแปลงเพศตอนอายุ 40 ปี และก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเพศต่อผู้หญิงในวงการวิทยาศาสตร์มาตลอดชีวิตการทำงาน
เขาเป็นทรานส์อย่างเปิดเผยคนแรกที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอเมริกา (American National Academy of Sciences) ด้วยเกียรติคุณจากการค้นพบทางประสาทวิทยาครั้งยิ่งใหญ่ และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนในปี 2017
Sally Ride (1951-2012)
แม้ว่า NASA จะก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1958 แต่กว่าผู้หญิงจะได้เข้าร่วมโครงการฝึกนักบินอวกาศก็ปาไปถึงปี 1977 เมื่อ NASA ตัดสินใจว่าจะต้องเพิ่มบุคลากรที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เข้าไปในโครงการอวกาศ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หนาหูว่าผู้หญิงไม่เหมาะจะออกสู่อวกาศ Ride ยื่นใบสมัครในฐานะนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์
หลังจากที่เธอทุ่มเทอย่างหนักกับการเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภาคพื้นใน CAPCOM และพัฒนาแขนกลสำหรับใช้บนยาน ในที่สุดเธอก็ได้เป็นนักบินอวกาศที่อายุน้อยที่สุด ผู้หญิงอเมริกันคนแรกที่ได้ออกสู่อวกาศในภารกิจปี 1983 การเดินทางไปบนกระสวยอวกาศ STS-7 ของเธอสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าเด็กผู้หญิงผู้สนใจในวิทยาศาสตร์เป็นวงกว้าง
จากนั้น Ride ก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสถาบันอวกาศแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงกำไรที่ชื่อว่า Sally Ride Science ซึ่งจัดโครงการวิทยาศาสตร์และอบรมครูเพื่อทำให้ “วิทยาศาสตร์กลับมาดูเจ๋งอีกครั้ง”
เธอขึ้นชื่อเรื่องความหวงแหนชีวิตส่วนตัวมาเสียจนแทบไม่มีใครรู้ว่าเธอครองรักกับ Tam O’Shaughnessy มาอย่างยาวนานถึง 27 ปี และปัจจุบัน O’Shaughnessy ก็ยังรักษามรดกของ Ride เอาไว้ในฐานะผู้อำนวยการของ Sally Ride Science หลังจากที่นักบินอวกาศหญิงผู้นี้จากไปด้วยมะเร็งตับอ่อน
Nergis Mavalvala (1968-)
ในปี 2015 Mavalvala กับทีมนักดาราศาสตร์ของเธอค้นพบคลื่นความโน้มถ่วง (Gravitational Wave) จากการชนกันของสองหลุมดำ คลื่นของกาลอวกาศที่กระจายไปได้ทั่วเอกภพนี้เคยเป็นเพียงทฤษฎีของ Albert Einstein ซึ่งยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีอยู่จริง แน่อนว่าการค้นพบครั้งนี้เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจ “ธรรมชาติ” ของอวกาศ พิสูจน์ว่าทฤษฎีของ Einstein ยังคงใช้ได้ผลในการศึกษาทางดาราศาสตร์ รวมไปถึงสังเกตการณ์สสารมืด (Dark Matter) ได้โดยตรงด้วยปรากฏการณ์เลนส์ความโน้มถ่วง
ปัจจุบัน Mavalvala ดำรงตำแหน่งในฐานะคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ของ MIT เธอเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์มาโดยตลอด และยืนหยัดสนับสนุนชุมชน LGBT และต่อต้านอคติทางชาติพันธุ์ในวงการวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้เธอยังเป็นเจ้าของรางวัลอัจฉริยบุคคลของ McArthur ปี 2010 และนักวิทยาศาสตร์ LGBTQ ประจำปี 2014
รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?