จากการสำรวจเชิงลึก Being LGBTQI+ in Ireland ร่วมกับทีมนักวิจัยจาก Trinity College Dublin ที่มีผู้เข้าร่วมถึง 2,800 คน มีข้อค้นพบที่สะท้อนให้เห็นว่า แม้สังคมจะก้าวไปข้างหน้า แต่ “ความท้าทาย” ที่ชาว LGBTQ+ ต้องเผชิญกลับยังคงมีอยู่อย่างมีนัยสำคัญ เช่น อาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 17% และอาการวิตกกังวลอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 30% นับจากปี 2016 รวมไปถึงสัดส่วนที่น่าตกใจของผู้ที่เคยทำร้ายตัวเองและมีความคิดฆ่าตัวตาย
ยิ่งไปกว่านั้น ค่าเฉลี่ยอายุแรกของการพยายามทำร้ายตัวเองคือ 14 ปี และการพยายามฆ่าตัวตายคือ 15 ปี ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับอัตลักษณ์ LGBTQ+ และยังประสบกับปัญหาในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ
นอกจากนี้ รายงานให้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกหนึ่งเรื่องคือประสบการณ์การถูกทำร้ายในโรงเรียน มีอัตราการรังแกด้วยอคติต่อ LGBTQ+ ที่สูงมาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรง ทำให้เด็กอยากลาออกจากการศึกษา
อย่างไรก็ตาม รายงานยังให้ข้อมูลในด้านบวกเกี่ยวกับการยอมรับที่ดีขึ้นจากคนทั่วไปต่อชุมชน LGBTQ+ แต่ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับประสบการณ์อันหลากหลายของชาว LGBTQ+ ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ
แน่นอนว่ารายงานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำ รวมไปถึงประเด็นเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของชาว LGBTQ+ ยังคงดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบัน ถึงแม้ว่ามุมมองทางสังคมจะดีขึ้น แต่ปัญหาที่แท้จริงยังไม่ได้หมดไปพร้อมกับการรณรงค์สิทธิเพียงอย่างเดียว ดังนั้นลำพังเพียงแต่ “การยอมรับ” อาจยังไม่เพียงพอ หากแต่ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย และ ally ต่างต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อกำจัดการเลือกปฏิบัติ ทัศนคติเชิงลบ และสร้างพื้นที่ในสังคมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ทางเพศแบบใด
เมื่อมองย้อนกลับมาที่บริบทสังคมไทยในปัจจุบัน แม้จะมีการพูดถึงประเด็นความหลากหลายทางเพศมากขึ้น และเริ่มเห็นการยอมรับในระดับหนึ่ง แต่เราก็ยังพบเห็นการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และอคติทางเพศที่แฝงอยู่ในสังคมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในสถานที่ทางการ เช่น โรงเรียน ที่ทำงาน หรือแม้แต่ในครอบครัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
การสร้างสังคมที่เท่าเทียมและปลอดภัยสำหรับทุกคน จึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัว แต่เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติภายในจิตใจ การสนับสนุนและเป็นเพื่อนร่วมทางกับผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ รวมถึงการเรียกร้องนโยบายที่เอื้อต่อความเท่าเทียมและคุ้มครองสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+
หากเราร่วมมือกันทำ ก็เชื่อได้เลยว่าเมืองไทยจะเป็นที่ที่ทุกคนอยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่มีใครต้องถูกกีดกันหรือเลือกปฏิบัติอีกต่อไป นั่นคือโลกในอุดมคติที่เราทุกคนปรารถนา
รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?