เทรนด์ในอนาคตและการปรับตัวของบริษัท เมื่อผู้หญิงส่วนใหญ่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานสูงสุดในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป

ผู้หญิงส่วนใหญ่ก้าวหน้าในหน้าที่การงานหลังจากอายุ 50 ปี จากการจัดอันดับ 100 รายชื่อผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของ FORBES เมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า 80% ของผู้หญิงในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิตและอาชีพการงานอยู่ในวัยที่มีอายุเกิน 50 ปี และครึ่งหนึ่งมีอายุมากกว่า 60 ปี เพราะถึงแม้จะมีทัศนคติแบบเหมารวมและเรื่องราวที่สืบทอดมา ไม่ว่าจะเป็นในเทพนิยาย และภาพยนตร์ของผู้หญิงสูงวัยที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและความน่ากลัว ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ก็คือผู้หญิงในช่วงอายุไตรมาศ 3 (50-75 ปี) ของชีวิตที่ยืนยาวกว่า 100 ปีของเรา เป็นช่วงที่ดีที่สุดของพวกเธอแล้ว

มันเป็นวิวัฒนาการที่สามารถคาดเดาได้พอสมควร เมื่อมนุษย์ได้รับการศึกษาเรื่องการควบคุมการเจริญพันธุ์ของพวกเขา ทำให้ผู้หญิงเป็นอิสระทางการเงินจากคู่ครองและครอบครัวของพวกเธอ ผู้หญิงในทุกสาขาอาชีพ ในทุกภาคส่วน และแม้แต่ในบางประเทศ ก็เริ่มตระหนักรู้ในตนเองอย่างเต็มที่ มีสิทธิมีเสียง และได้รับการมองเห็นมากขึ้น

ความมหัศจรรย์ของไตรมาศ 3

เช่นเดียวกับผู้ชายก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย ซึ่งจริงๆก็หลายทศวรรษ ผู้ชายส่วนใหญ่มีอำนาจ และมีอิทธิพลต่อตำแหน่งงานในช่วงอายุ 50 และ 60 ปี (ภาคเทคโนโลยีเป็นข้อยกเว้น) และเนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่ยังคงจัดการกับความขัดแย้งของระบบทุนนิยมเช่น อาชีพ และการดูแล (ของเด็ก คนแก่ คู่สมรส และใครก็ตามที่ต้องการสิ่งเหล่านี้) ในไตรมาสที่ 2 โดยเฉลี่ยแล้วพวกเธอจึงมีแนวโน้มจะเบ่งบานขึ้นในภายหลัง

ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับ 1 ในการจัดอันดับของ FORBES (เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน) เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบและเป็นแบบอย่างที่ดีคือ เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน วัย 65 ปี ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เมื่ออายุ 61 ปี เธอได้รับเลือกให้เป็นผู้นำรัฐบาลซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน 450 ล้านคนใน 27 ประเทศของสหภาพยุโรป แต่เมื่ออายุ 26 ปี ในปี 1986 เธอก็แต่งงานกับสามีแพทย์ตามธรรมเนียมปกติ และมีลูกเจ็ดคนในอีก 13 ปีต่อมา เช่นเดียวกับผู้หญิงหลาย ๆ คน เธอใช้เวลาในช่วงอายุของไตรมาส 2 ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก เธอเข้าสู่รัฐบาลของอังเกลา แมร์เคิลในปี 2005 เมื่ออายุ 46 ปีในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงครอบครัวและเยาวชน และเริ่มเส้นทางของเธออย่างรวดเร็วจากที่นั่น การมีเจ้านายหญิงที่ยอมให้เธอเข้ฃามาอาจช่วยได้มาก และเลื่อนตำแหน่งให้เธอได้รับบทบาทที่แหวกแนว เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อพิจารณาถึงอายุของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปัจจุบัน เธอน่าจะมีเส้นทางที่ยาวไกลและทรงอิทธิพลรออยู่ข้างหน้า

ในองค์กรของคุณ คุณอาจไม่เห็นผู้หญิงที่มีช่วงอายุในไตรมาสที่ 3 เหล่านี้ คุณอาจไม่ลงทุนกับความสามารถและความทะเยอทะยานของพวกเธอ มีบริษัทจำนวนมากที่ยังคงเลิกจ้างหรือปลดพนักงานอายุมากกว่า 50 ปีออก หมายความว่าบริษัทส่วนใหญ่ไม่ลงทุนในการพัฒนา ความทะเยอทะยาน หรือจุดเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นอีกต่อไป เจ้านายที่อายุน้อยและฝ่ายจ้างงานมักคิดว่าพวกเธอเลยช่วงวัยที่ดีไปแล้ว การเกษียณอายุยังคงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่สังคมยอมรับและใช้สำหรับผู้ที่ ‘ปิดกั้น’ ตำแหน่งงานระดับสูง การตัดสินใจส่วนใหญ่มาจากความคิดที่ว่า: ผู้สูงอายุเป็นโรคกลัวเทคโนโลยี ต่อต้านการเรียนรู้ และหัวแข็ง

มาดูเรื่องราวของเอลีนอร์ มิลส์ หลังจากดำรงตำแหน่งบรรณาธิการอาวุโสของหนังสือพิมพ์ Times ในสหราชอาณาจักรมา 25 ปี เธอก็ถูกปลด และใช้ชีวิตเพื่อบอกเล่าเรื่องราวและสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ในฐานะหัวหน้าของของ Noon.org.uk ซึ่งเป็นชุมชนของ ‘Queenagers’ สตรีวัยกลางคน ที่กล้าที่จะสยายปีกอันงดงามหลังวัยหมดประจำเดือน หากอยากเห็นภาพคำบรรยายนี้ ให้คุณลองไปดูภาพนักกีฬาหญิงในไตรมาสที่ 3 ของ Alex Rotas ได้

การคาดการณ์ และการปรับตัว

ต่อไปนี้เป็นการคาดการณ์สำหรับปี 2024 บริษัทต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ความเป็นจริงด้านประชากรศาสตร์และความสามารถในการมีอายุยืนยาวของเราจะเข้ามาครอบงำ บริษัทที่ฉลาดตระหนักดีว่าผู้หญิงที่อายุมากกว่า 50 อาจเป็นกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์ที่ทะเยอทะยาน ทุ่มเท และหิวกระหายมากที่สุด เมื่อองค์กรต่างๆ ปรับเปลี่ยนแผนที่อาชีพแบบเก่าที่ล้าสมัย ซึ่งออกแบบมาสำหรับผู้ชายที่มีรายได้คนเดียวในวัยอื่น พวกเขาจะค้นพบศักยภาพที่ยังไม่ถูกใช้ และจะมีส่วนช่วยในการรักษาผู้มีความสามารถทุกวัย และเพิ่มการมีส่วนร่วมและผลผลิตของทีมที่มีคนต่างรุ่นอยู่ด้วยกัน

แรงงานที่มีอายุยืนยาวและสูงวัยถือเป็นเรื่องใหม่และยังไม่เข้าสู่วาระหลักในเทรนด์ของการเป็นผู้นำ มันจะเป็นงานในทศวรรษหน้าสำหรับองค์กรต่าง ๆ ในการปรับตัวให้เข้ากับความสมดุลของคนรุ่นใหม่ทั้งของผู้บริโภคและพนักงานของพวกเขา ในขณะนี้ ทุกคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปต้องทนทุกข์ทรมานจากสิ่งนี้ ผู้ชายหลายคนถูกปลดออกจากตำแหน่งอย่างไร้ความปราณี


แต่สำหรับผู้หญิงดังที่ ดร. ลูซี ไรอัน อธิบายไว้ใน Revolting Women ประเด็นเรื่องอายุเป็นปัญหาที่ยากที่สุดในช่วงวัยกลางคน เพียงในเวลาที่พวกเธอพร้อมที่จะลุกขึ้น และพ้นจากความกังวลใจในช่วงไตรมาสที่ 2 ไปได้ในที่สุด พวกเธอจะถูกทุบด้วยค้อนความกังวลสามอันคือ: “พวกเธอไม่ใช่ผู้ชาย พวกเธอไม่ใช่เด็ก และพวกเธอก็ไม่ได้อยู่ในแผนของเส้นทางอาชีพ” และเรื่องนี้ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำ แต่กลับกลายเป็นปกติของสังคม ถึงเวลาคิดใหม่และปรับวัฒนธรรมและระบบองค์กรใหม่แล้ว

ผู้หญิงคือข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

ต้องใช้ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ในการทำความเข้าใจแนวโน้มด้านประชากรศาสตร์ และผลักดันเรื่องความสมดุลทางเพศเพื่อสร้างเส้นทางให้ผู้หญิงได้เติบโต นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความเป็นผู้นำ ในการปรับระบบองค์กรเพื่อตระหนักว่าเส้นทางอาชีพของผู้หญิงอาจมีรูปแบบและเวลาที่แตกต่างกันไปจากบรรทัดฐานของผู้ชายแบบเก่า ผู้ที่ทำได้จะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความสามารถส่วนใหญ่และผู้มีอำนาจตัดสินใจซื้อส่วนใหญ่ในตลาด – ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดอีกด้วย

บริษัทที่ได้ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้แล้วจะก้าวนำในการปรับตัวกับเทรนด์ของการมีอายุยืนยาวแบบใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การมีความสมดุลทางเพศเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับความสมดุลระหว่างรุ่น องค์กรเหล่านี้จะได้เรียนรู้ที่จะตระหนักถึงศักยภาพของอาชีพของคนในช่วงอายุไตรมาสที่ 3 และวิธีดึงดูด รักษา และพัฒนาผู้มีความสามารถสูงวัย สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาได้เปรียบในการแข่งขันเนื่องจากสังคมทั่วโลกมีอายุมากขึ้นและความพร้อมของผู้มีความสามารถอายุน้อยก็จะลดน้อยลง และจะมีสตรีสูงวัยที่เก่งกาจที่แข็งแกร่งกว่ามากพร้อมที่จะเป็นผู้นำ

แปลและเรียบเรียงจากบทความของ Avivah Wittenberg-Cox เรื่อง 80% Of Forbes’ 100 Most Powerful Women Are 50+ (Of Course) จาก นิตยสาร Forbes

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner
Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง