11 คำถามกับ “อัด อวัช รัตนปิณฑะ” : เลนส์ที่มองตัวละครในฐานะมนุษย์ที่มีเฉดสีมากกว่าหนึ่ง

มาร่วมส่งท้าย Pride Month กับการพูดคุยกับผู้รับบท “แสงจันทร์” หนึ่งในตัวละครที่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของ LGBTQIA+ Community จากซีรีส์ “ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว” ที่กำลังเป็นที่นิยมใน Netflix ตอนนี้  

อะไรคือสิ่งที่ร่วมขับเคลื่อนอยู่ในตัวละครตัวนี้ และมีผลกระทบอย่างไรในมิติของเปิดรับความเข้าใจเรื่องเพศอันหลากหลาย การยอมรับภายในครอบครัว และสังคม
Genderation ขอพาคุณมาร่วมสัมผัสมุมมองเหล่านี้กับ “อัด อวัช รัตนปิณฑะ”  ไปพร้อมกัน 


Q:  ตอนนี้ชีวิตส่วนตัว และหน้าที่การงานในฐานะนักแสดงเป็นอย่างไรบ้าง?

อัด: “ชีวิตส่วนตัวตอนนี้ก็เรื่อยๆ ครับ สำหรับเรื่องงานภายนอกอาจเห็นว่ามีงานออนแอร์ต่อเนื่อง แต่จริง ๆ แล้วถ้าพูดตามตรงในฐานะนักแสดงก็ยังไม่ได้มั่นคงแบบ 100% มันยังเป็นอาชีพที่ผมกลับมาเลือกสู้ในเส้นทางนี้ และยังมีทางต้องไปต่อ หาบาลานซ์ให้เจอระหว่างการอยู่รอดและทำตามความฝัน ซึ่งตอนนี้ผมรู้สึกว่าในฐานะนักแสดงเรายังต้องการโอกาส เรายังต้องวิ่งออกไปหาโอกาส ยังต้องลุกไปสร้างโอกาสให้ตัวเองอยู่ มันยังไม่ได้เป็นจุดที่แบบว่ามั่นคงแล้วและมีงานเข้ามาต่อกันเรื่อยๆ ต่อให้เราได้รางวัลมา ได้เล่นหนัง ได้เล่นซีรีส์ต่อกันในจังหวะที่ออนแอร์ต่อกันพอดีมันก็ยังไม่ได้มีอะไรการันตีว่าผมจะมีโปรเจ็กต์ต่อไป”

“มันก็ยังเป็นช่วงที่ยังว่างอยู่ แต่ก็ Struggle นิดนึงในเส้นทางนี้เหมือนเดิม แต่ก็พยายามไม่กดดันตัวเองมากเกินไป รู้สึกว่าเป็นช่วงที่หาบาลานซ์อยู่อย่างที่บอกครับว่า เราเลือกพาร์ทนี้แล้วว่าเราจะไปเป็น Actor จริงจัง แต่ว่าทำยังไงให้เราอยู่รอดได้ พยายามหา Second job ไปด้วย”

Q:  เป็นครั้งที่ 2 ในระยะเวลาไม่ห่างกันมาก ที่เราได้เห็นคุณรับบทตัวละคร เควียร์ ๆ  บทแบบนี้มันยังท้าทายอยู่ไหม แล้วความยาก-ง่ายของครั้งนี้คืออะไร?

อัด: “สำหรับผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ยาก หรือง่ายนะครับ ในการมารับทเควียร์อย่างแรกคือเรามองว่าเค้าคือมนุษย์คนนึงก่อน ผมว่าเราต้องตัดเรื่องการมารับบทเควียร์ยากหรือง่ายไปเลยนะครับ สำหรับผม ผมมองว่าเค้าคือมนุษย์คนนึงที่มี Gender Identity แบบนี้  Sexual preference แบบนี้ พอเรามองเค้าเป็นมนุษย์เราไม่รู้สึกว่ามันยากหรือง่าย แต่เราแค่ลงไปทำความเข้าใจความเป็นมนุษย์ของเค้า ว่าจริงๆ แล้วเค้าเป็นคนแบบไหน แบ็คกราวด์ของเค้าเป็นยังไง ทำไมเค้าถึงชอบแบบนี้ เส้นทางการเติบโตของเค้า อะไรที่มัน Shape ให้เค้าเป็นคนแบบนี้ในปัจจุบันบ้างนอกเหนือจากการที่เราเข้าใจเค้าในฐานะตัวละคร คือเราไปเข้าใจเค้าในฐานะมนุษย์ด้วย ผมว่าสิ่งนี้สำคัญ  เราต้องไม่ตัดสิน เราต้อง Open minded กับทุกคาแร็คเตอร์ที่เกิดขึ้น ทุก Shade ของการเป็นมนุษย์ที่ทุกคนมีความหลากหลาย ทุกคนมีความ Diversity มีความเป็นตัวเองที่มันต่างกัน”

“ในบทเควียร์ที่ผมรับใน 2-3 เรื่องที่ผ่านมา มิติของแต่ละตัวละครก็ไม่เหมือนกัน Level ความชัดเจนใน Gender identity ของเค้าก็ไม่เท่ากัน ผมรู้สึกว่าสุดท้ายสิ่งเหล่านี้มันคือความน่าสนใจ ความเป็นจริงของโลกใบนี้ ที่เรามีคนที่เค้าเป็นเควียร์ เป็น LGBTQIA+ Community มากมาย จริงๆแล้วมีเลเยอร์อีกเยอะมากของการอยู่ใน  Community นี้ที่บางคนยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ  ในฐานะนักแสดง คือเราไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ยาก แต่คือสิ่งที่เราคิดว่าอยากให้คนเข้าใจ เราอยากให้คนได้รับรู้ว่าจริงๆ ณ วันนี้โลกของเรื่องเพศมันดำเนินไปไกลมากแล้ว แล้วผมคิดว่าเหมือนในสังคมเรามันยังขาดการถูกสอนให้เข้าใจเรื่องพวกนี้ มันยังถูกมองทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก หรือมันซับซ้อนเกินไป มันใหม่เกินไป หรือมันไม่ควรพูดถึง หรือ Whatever ที่คนในสังคมบางส่วนอาจจะรู้สึกแบบนั้น ตอนนี้จะมีกี่เลเยอร์ กี่เพศ แต่ผมรู้สึกว่าโลกมันไปข้างหน้า ทุกคนมีสิทธิ์ เราไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่างในวันเดียว  การที่เราเริ่มศึกษา การที่สื่อเผยแพร่ การที่เราในฐานะนักแสดงได้ถ่ายทอดบทที่มันมีความหลากหลายมากขึ้น  ผมว่าสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้คนรู้สึกคุ้นชินมากขึ้นกับเรื่องเพศที่มันหลากหลายมากขึ้น มีมิติลึกมากขึ้นครับ”

Q: แล้วในฐานะนักแสดงคิดว่ามันมีความจำเป็นมั้ยที่บทความหลากหลายทางเพศ ควรสงวนไว้ให้เฉพาะนักแสดง Come out  และอยู่ใน LGBTIQIA+ Community เท่านั้นเหมือนกับประเด็นร้อนที่เกิดทางฝั่ง Hollywood ตอนนี้

อัด:  “คือผมรู้สึกว่าผม Respect และ Appreciate ทุกคนที่ Come out กล้าที่จะ Define ตัวเองว่าเค้าเป็นเพศอะไร เค้ามีจุดยืนแบบไหน แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่าเราก็  Respect คนที่เค้ารู้ตัวเองแต่เค้าไม่ได้ออกมาพูด แต่เค้าก็ต่อสู้เพื่อสิทธิของ LGBTIQIA+ Community เหมือนกัน”

“ผมคิดว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นประเด็นที่มันมองได้สองมุม แล้วก็เข้าใจด้วยว่าทำไมมันถึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ ซึ่งอันนี้เป็นมุมมองความคิดเห็นของผมเลยนะครับ ผมรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วการที่จะสร้างภาพยนตร์ หรือว่า ซีรีส์เรื่องนึงแล้วจะมีบทที่เป็นเควียร์ หรือ บท LGBTIQIA+ อยู่ในเรื่องนั้น มันควรเปิดพื้นที่ให้กับคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ตาม คุณอาจจะ Define ตัวเองว่าเป็นชาย เป็นหญิง หรือเป็น LGBTIQIA+ ก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณสามารถที่จะทำให้ตัวละครนั้นมีชีวิต และเข้าใจชีวิตของบทที่เป็น LGBTIQIA+ Community ได้มั้ยอันนี้สำคัญกว่า  แล้วการแคสติ้งมาเค้าทำถึงมั้ย เค้าเหมาะสมกับบทหรือเปล่า   อาชีพนักแสดงมันคืออาชีพนึงเหมือนกันที่เราไปสวมบทบาท ถ้าเราปิดกั้นว่าบท LGBTIQIA+ หรือบท เควียร์ ต้องเป็นคนที่อยู่ใน Community เท่านั้นในมุมนึงมันก็คือการปิดกั้นโอกาสคนที่เค้าอาจเป็น Allied เป็นกลุ่มคนที่อยากจะต่อสู้เพื่อกลุ่ม LGBTIQIA+ Community แต่ถ้าปิดกั้นตรงนี้ปุ๊บเค้าไม่มีโอกาส หรือบางทีการที่เค้าได้มาสัมผัส ได้มาทำความเข้าใจ ได้มาเล่นตรงเนี้ยะ มันอาจจะทำให้เค้าเข้าใจมากขึ้น หรือในมุมนึงถ้าเรามองลึกไปกว่านั้น บางทีเค้าก็อาจจะได้ค้นพบอะไรบางอย่างในเรื่องของ Gender หรือสามารถเป็นกระบอกเสียงอีกมุมนึงก็ได้  ยกตัวอย่างเช่นเค้าอาจจะเป็นผู้ชาย แต่พอได้มาเล่นสวมบทบาทเค้าเข้าใจมุมที่หลากหลายของการเป็น LGBTIQIA+  Community ก็ได้เช่นกัน”

“ผมรู้สึกว่ามิติของมันกว้างกว่านั้นมาก มากกว่าที่เราตัดสินแค่ว่าบทนี้ต้องสำหรับ สิ่งนี้ อันนี้ เท่านั้น ซึ่งในฐานะนักแสดง เราสามารถที่จะเป็นอะไรก็ได้ เราต้องโอบรับมนุษย์ทุกรูปแบบ  

อันนี้คือคีย์สำคัญของผม  เพราะมีนักแสดงหลายคนที่ผมชื่นชอบมากๆ ในทุกวันนี้อย่าง 

เช่น Jonathan Bailey หรือ Matt Bomer ที่เค้าได้ Come out  ออกมาว่าเป็นเกย์ แต่สุดท้ายเค้ายังรับบทที่เป็น Straight ได้ รับบทที่เป็นเควียร์ ได้ เป็นเกย์ได้ คือผมเลยรู้สึกว่าสุดท้ายนี่คืออาชีพนักแสดง เราสามารถที่จะถ่ายทอดทุกตัวละคร ทุกเพศ ได้หมด เพียงแต่ว่าเราเหมาะสมกับบทนั้นมั้ย  เราเข้าใจแมสเสจนั้นมั้ย  สิ่งที่เราจะถ่ายทอดมากพอมั้ยมากกว่า เพราะสุดท้ายหากทำไม่ถึงคนดูก็ดูออกว่าทำไม่ถึง รู้ว่าคุณไม่ได้เข้าใจเค้าจริงๆ  มันก็คล้ายๆ สิ่งเดียวกัน เป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงมารับบทหนึ่งใน  LGBTIQIA+ Community ถ้าคุณไม่เข้าใจจริงๆ คุณไม่ได้โอบรับเค้าเข้ามาจริงๆ คนดูก็จะรู้ได้ ผมเลยรู้สึกว่าอยากให้มีการเปิดกว้างเรื่องนี้ให้กับอาชีพนักแสดง เพราะลำพังเรื่องของโอกาสในอุตสหกรรมบันเทิงก็มีพื้นที่น้อยมากพออยู่แล้ว”

“เหมือน Conflict ที่มันเกิดขึ้นในสังคมแหละว่า ณ ปัจจุบัน คนเราถูกตัดสินง่ายมาก

สมมุติว่าผมมารับบทเควียร์ติดๆ กัน คนก็จะคิดแล้วว่าหลังจากนี้คุณเล่นได้แต่บทเควียร์ คุณกลับไปเป็น Straight  ไม่ได้หรอก ซึ่งในฐานะนักแสดงแล้วคือทำได้หมด อย่าพึ่งตัดสิน ซึ่งเป็นความความเจ็บปวดที่หลายๆ คนอาจไม่เข้าใจในฐานะนักแสดง ว่าเวลาเราตัดสินใจรับบทนี้แล้วคนก็จะมองเราไปแบบนี้ ซึ่งไม่ได้ผิดอะไร แต่เราแค่อยากจะบอกว่าในฐานะนักแสดงเราค่อนข้างจะเปิดกว้างกับทุกบท กับความหลากหลายที่เกิดขึ้น  ในชีวิตจริงกับอาชีพของนักแสดงคุณต้องแยกให้ออกก่อนว่าคุณได้มองเห็นอะไรในตัวคนนี้ คุณอย่าเอาเรื่องของ Gender  identity มาปักธง ว่าถ้าเค้ารับบทแบบนึงแล้วจะรับบทอีกแบบนึงไม่ได้ ซึ่งมันไม่จริง

แล้วสุดท้ายบทที่เป็น LGBTIQIA+ นักแสดง Come out เป็นส่วนหนึ่งใน Community แล้วเค้าเหมาะสมกับบทนั้น เค้าก็สมควรจะได้รับ”

Q: มีส่วนไหน ของการเป็นตัวละครชื่อแสงจันทร์ ในเรื่องดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียวที่คุณรู้สึกว่าท้าทายมากที่สุด แล้วเตรียมตัวอย่างไรสำหรับฉากนั้น

อัด:  “ผมโตมาในยุคที่ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องที่ปกติกว่ายุคนั้น ซึ่งสิ่งแรกที่เราต้องไปทำคือเราต้องย้อนกลับไปในยุค 70 ว่าในช่วงเวลานั้นการที่เค้าเปิดเผยว่าเค้าเป็นเกย์มันยากอย่างไร  ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้แปลว่ามันหมดไปนะ เราก็เลยพยายามลงไปทำความเข้าใจตรงนั้น ณ ช่วงเวลานั้นว่าความยากลำบาก ความเจ็บปวดที่เค้าเจอในยุค 70 มันเลเวลไหน พอเราโตมาอีกยุคนึงมันเทียบกันไม่ได้ จริงๆ”

“แสงจันทร์เป็นตัวละครที่โผล่ออกมานิดนึงแค่ 2 EP. แต่สิ่งที่ยากคือเราจะทำยังไงให้ทุกการปรากฏตัวของเราถึงแม้ว่ามันจะมี Timing ที่ไม่ยาว แต่ว่าคนดูเห็น Development ของเค้าว่าทำไมมันเทิร์นไปจาก 1 ไปสู่ 100 ได้ด้วยใน Timing ที่มีอยู่อย่างจำกัด มันก็เลยต้องไป Work on เรื่องของแบ็คกราวนด์ตัวละครค่อนข้างเยอะ ว่าเค้าโตมาแบบไหน เค้าเจออะไรระหว่างทาง หรือช่วงเวลาที่ซีรีส์ไม่ได้เล่า เค้าไปเจออะไรมา คือมันต้องหาเรื่องราวให้ตัวละคร ซึ่งผมก็  Work on ตรงนี้เพิ่มเติมว่าอะไรคือจุดที่เรากลับมาอีกทีแล้วคนดูไม่รู้สึกว่ามันโดด แต่ว่าเราต้อง Keep สิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลาก่อนที่เราจะกลับเข้ามาในอีกซีน ที่ตัวละครมันเทิร์นแล้ว”

Q: แล้วพอเวลาน้อย ตัวละครลึก ประเด็นหนัก แล้วอัดรู้สึกว่าพอใจมั้ยกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในซีรีส์ 

อัด: “มากๆ ครับ จริงๆ ตั้งแต่ตอนถ่ายแล้วคือผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ผมใช้เวลาด้วยอาจไม่ได้นานมาก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ผมรักมากๆ แล้วก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอแสงจันทร์” 

“ผมยังเจอความรู้สึกเจ็บปวดตอนที่เค้าโดนทำร้าย โดนพูดถึง มันเจ็บปวดมากๆ เลยกับการที่เราไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตโดยการเป็นตัวเอง และ มีความรักกับคนที่เรารักได้  หรือการที่เราต้องโดนคนที่เรารักทำร้ายมันยิ่งเจ็บปวดเข้าไปใหญ่ สำหรับยุคนั้น”

“แสงจันทร์เลยเป็นตัวละครที่ผมรู้สึกผูกพันธ์ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่เราดีใจที่เราได้พูดเรื่องของเค้า ในอีกทางนึงคืออย่างน้อยเราได้พูดหลายๆอย่างออกไป ซึ่งพอซีรีส์ออนไปก็มีคนส่งแมสเสจมาหาผมหลายคนมากๆ หลายคนก็บอกว่าในอดีตเค้าก็เจอเรื่องแบบเดียวกัน สิ่งที่เราถ่ายทอดออกไปมันคือเจ็บปวดที่เค้าเองก็เคยแบกรับ ซึ่งตอนที่ผมไปเล่นผมก็เข้าใจความเจ็บปวดนั้น มันมีความผูกพันธ์ร่วมกันอยู่ระหว่างผมกับแสงจันทร์”

Q: แล้วถ้าคุณคือ ดร.ไคลแมกซ์ จะตอบจดหมายแสงจันทร์ยังไง

อัด: “ถ้าเป็นผมก็จะบอกแสงจันทร์ว่า เอาเลย บอกทุกคนไปเลยว่าเป็นเกย์ เพราะผมรู้สึกว่าอันนี้ก็พูดได้ถ้าในมุมของปัจจุบัน แต่ ณ เวลานั้นผมก็เข้าใจทางหมอนัท (ดร.ไคลแมกซ์) ที่ตอบ และ Rescpect ในมุมที่เค้ากล้าตอบสิ่งนี้ออกมา  เพราะผมรู้สึกว่าการต่อสู้เรื่องสิทธิของ LGBTIQNA+ ในอดีตมันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน และเจ็บปวด กว่าที่มันจะดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ การถูกทำร้ายทางกาย ทางใจ การประท้วงไม่รู้กี่ครั้ง  เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าแบบในวันนั้นถ้ามันไม่มีคนเริ่มมันก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สังคมก็จะไม่มีวันเข้าใจ ว่าการเป็นเกย์คืออะไร  มันก็จะไม่นำมาสู่การที่เราสามารถที่จะ Define ตัวเองในความหลากหลายทางเพศในแบบที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันต้องมีการเริ่มต้น ซึ่งเข้าใจว่าการเริ่มต้นมันต้องมีการเสียสละ”

“และในมุมของแสงจันทร์เองในมุมที่ หมอนัท (ดร.ไคลแมกซ์) แนะนำจะนำพาไปสู่จุดนี้ เค้าแค่คาดหวังว่าการได้ทำตามเสียงของหัวใจตัวเองมันจะทำให้ทุกอย่างสวยงาม หรือเป็นไปอย่างที่เค้าคิด แต่ว่าพอสุดท้ายแล้วพอมันไม่ได้เป็นแบบนั้นในยุคที่สังคมกดทับเพศของเค้า ตัวเค้าเองก็เลยเทิร์นไปเป็นแบบนั้น แต่ท้ายที่สุด คือหมอนัทเค้าก็บอกว่าเค้าขอโทษที่ทำให้สถานการณ์มาถึงตรงนี้ แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่หมอนัท (ดร.ไคลแมกซ์) ที่ให้คำแนะนำนี้ แต่คือคนในครอบครัว คนรอบตัวที่ไม่ยอมรับเรา  สุดท้ายแล้วการที่คุณ Come out เป็นเพศอะไรก็ตาม ผมว่าจุดแรกของชีวิตที่เราต้องเจอเลยคือคนรอบตัว คือครอบครัว คือเพื่อนสนิท ใน Small community พื้นที่เราอยู่ก่อนว่าเค้ามี Reaction ปฏิกิริยากับเราอย่างไร ซึ่งถ้าคนรอบตัวไม่ยอมรับมันก็เหมือนโลกได้พังทลายแล้ว เพราะนี่คือคนที่ใกล้ชิดเราที่สุด ยังไม่ยอมรับเราเลย”

“หรืออีกมุมนึง ถ้าหากแสงจันทร์ไม่ Come out ออกมา แล้วเค้าต้องแต่งงานเค้าก็จะไม่มีวันมีความสุขในชีวิต หรือชีวิตของเค้าก็จะต้องจบด้วยการหย่า หรือแอบไปมีชู้ ไปมีความสัมพันธ์อื่นอยู่ดี ในเมื่อเค้ารู้ตัวว่าเค้าชอบอะไร เค้ารู้ตัวว่ามี Gender Identity แบบไหน เพราะฉะนั้นสุดท้ายถ้าฝืนแต่งงานไปมันไม่ได้มีผลดี เพียงแค่ทำในสิ่งที่สังคมบอกให้ทำ แต่ความสัมพันธ์ ความรัก เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ โอเคคุณอาจจะทำตามคำสั่งของพ่อ แต่คนที่น่าสงสารคือภรรยาที่ต้องพบเจอกับความรู้สึกว่าสามีไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบในแบบที่เค้าเป็น และแอบไปมีชู้เป็นเพศอื่น” 

“ผมเลยรู้สึกว่าการที่แสงจันทร์เองเค้ากล้าตั้งแต่วันนั้น หนึ่ง มันอาจจะเจ็บปวดในรูปแบบนึงก็จริง และ สอง สิ่งที่ดีคือไม่ต้องทนกับสิ่งที่เราไม่ได้อยากอยู่ในระยะยาว แน่นอนว่ามันแลกมาด้วยความเจ็บปวดที่แตกต่างกันไป ในขณะเดียวกันอีกมุมนึงเราต้องพูดว่า แล้วทำไมการเป็น LGBTQIA+ ถึงต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ ต้องต่อสู้มากกว่าคนอื่น ต้องแลกเสมอทำไม แต่ในขณะเดียวกันการที่เป็นชาย-หญิง แต่งงานกันผลลัพธ์ หรือแรงเสียดทางที่ต้องรับมันกลับน้อยกว่า”

Q:  แล้วมีตัวละครอื่นในเรื่องที่คุณรู้สึกเห็นใจมากที่สุด

อัด : “คือผมรู้สึกว่าทุกตัวละครในเรื่อง ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว นั้นน่าเห็นใจหมด เพราะว่าถ้าเรามองย้อนกลับไปในยุคนั้นด้วย ความเข้าใจในเรื่องมิติทางเพศหรือว่าการที่เราจะยอมรับอะไรสักอย่าง ว่าแบบฉันไม่รักคนนี้แล้ว แต่ฉันแต่งงานไปแล้ว การต้องบอกเลิกกัน ต้องหย่ากันด้วยสถานะทางสังคมที่มันมีอยู่ มันก็อาจจะไม่ง่ายเหมือนปัจจุบันก็ได้นะครับ ซึ่งตรงนี้เราอาจจะตอบไม่ได้ 100% เพราะเราก็ไม่ได้ผ่านยุคนั้นมา แต่ก็คิดว่าในยุคนั้นมันก็คงมีความยากบางอย่างที่ทำให้ตัวละครตัดสินใจแบบนั้น ถ้าเรามองด้วยแว่นที่ Empathy ต่อเพื่อนมนุษย์สุดๆ เราก็รู้สึกได้ว่าตัวละครเค้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าตัดสินใจมันไปกระทบกับความสัมพันธ์ และไปทำลายชีวิตคนอื่นอยู่ อย่างเช่นหมอนัทเอง การที่เค้าไม่ตัดสินใจว่าเค้าจะยังไงสุดท้ายเค้าก็ปล่อยให้เป็นการทดลอง มันก็เกิดจากที่ตัวละครอาจจะไม่รู้ หรือรู้แต่อาจจะเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจสักทางจนสร้างความเสียหายให้ชีวิตของคนอื่น ซึ่งเขาก็คงได้รับบทเรียนจากการกระทำของตัวเองต่อไป  ผมก็คิดว่าตัวละครทุกตัวมีความน่าเห็นใจแตกต่างกันไป แม้แต่ลินดาเองก็เช่นกันที่เป็นคนเปิด แต่มาอยู่ใน Situation สถานการณ์แบบนี้กลายเป็นว่างานเข้าเฉย หรือแม้กระทั่งตัวละครที่ชื่อตุ๊กตาเอง เจอกับเรื่องราวบางอย่างสุดท้ายก็เทิร์นไปเป็นอีกแบบนึง”

“ผมว่าพอเราพูดถึงความเป็นมนุษย์ ผมว่ามันไม่มีใครขาว หรือ ดำ 100% แล้วเราก็ไม่อยากให้สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สังคมยึดถือว่าตัวละครจะต้องเป็นคนที่ขาว หรือ ดำเท่านั้น  สุดท้ายเราเป็นมนุษย์ที่มีทุกด้านอยู่ในตัวเอง เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนทำผิดพลาดได้ ทุกคนก็เรียนรู้ได้ผมมองว่าเป็นแบบนั้นมากกว่า”   

“คนดูบางคนอาจรู้สึกเกลียดหมอนัทไปเลย แต่สิ่งที่คือเครื่องยืนยันว่ามีคนแบบนี้อยู่จริงๆ แล้วตรงนี้ก็เป็นเคสให้คนได้เห็น  โอเคคนอาจจะด่าสุดท้ายแล้วมันคือสิ่งที่ได้สะท้อนออกมาว่ามีคนแบบนี้อยู่จริงๆ ในสังคม สุดท้ายผมมองว่าพอเรามีแว่นตาที่มองโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้นก็จะรับรู้ว่าเนี่ยแหละเฉดของความเป็นมนุษย์ที่มันไม่ได้ขาวและดำ แต่มันคือพื้นที่สีเทา ซึ่งคนนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ หรือกำลังค้นหาคำตอบบางอย่างให้ตัวเองอยู่   แต่สังคมก็อาจจะมีชุดความคิดที่แบบว่า แบบนี้ไม่ได้เลย คุณทำตัวแย่ๆ กับภรรยา กับคู่รัก หรืออะไรก็ตาม  แต่ผมรู้สึกว่าประเด็นที่ซีรีส์กำลังพูดถึงเป็นประเด็นที่มันเกิดขึ้นอยู่ในสังคม  บางคนอาจจะมองว่านี่คือการ Normalize  แบบนี้หรือเปล่า แต่ผมกลับมองว่าเป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อเกิดการถกเถียง สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนได้พูดถึงว่าสิ่งนี้คุณรู้สึกกับมันอย่างไร  แต่มันก็มีนะสื่อที่มัน Normalize หรือเพื่อถ่ายทอดความเป็นจริงที่มันมีอยู่ซึ่งมันก็สามารถมองได้หลายมุม  เราก็อยากให้สื่อมีพื้นที่ของการสร้างสรรค์อย่างมีอิสระ”

“การที่มีตัวละครทำให้คนออกมาถกเถียงกัน หรือคนดูแล้วรู้สึกว่าไม่ได้เห็นชอบด้วยทั้งหมดมันทำให้เค้าได้มองเห็นอะไรจากตัวละครนี้ มองเห็นว่าในสังคมเรายังมีตัวละครแบบนี้อยู่ แล้วร่วมกันตั้งคำถามว่าเราจะดำเนินสังคมต่อไปอย่างไร หรืออย่างน้อยก็ทำให้คนได้ทำความเข้าใจตัวเองว่าฉันไม่ชอบคนแบบนี้เลย  และจะไม่มีวันยอมรับคนแบบนี้  หรือเป็นการตั้งคำถามไปสู่คำตอบว่าเราจะอยู่ร่วมกับคนแบบนี้ยังไง  คือผมรู้สึกว่าถ้าเราเป็นคนในสื่อแล้วเราปิดกั้นมิติและความหลากหลายของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายในมุมนึงมันคือการปิด Creativity ของคนทำงานด้วยเหมือนกัน  หลายคนทำงานออกมาพูดเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียง ด้วยท่าทางแบบไหน แล้วหลังจากที่คุณผลิตออกมาแล้ว คนได้ต่อยอดอะไรออกไปจากสิ่งที่คุณพูด  ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่การแบบการออกมาแก้ต่าง หรืออะไรก็ตามแต่นะ แต่มันคือการทำให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ และในณะเดียวกันผมมองว่ามันคือสิ่งที่ทำให้คนได้เห็นต่าง ทำให้คนที่หลากหลายได้เจอกันมากขึ้น ได้ร่วมพูดคุยถกเถียงเพื่อหาข้อสรุป  การได้แลกเปลี่ยนกันมันย่อมนำไปสู่การเกิดอะไรใหม่ๆ ทำให้สังคมขับเคลื่อนก้าวไปข้างหน้าได้เสมอ” 

“ผมว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และอยู่ที่คนดูใช้เลนส์ไหนในการดูด้วย ถ้าคุณใส่เลนส์แบบ Monogamy ที่แข็งแรงมากๆ คุณก็จะดูซีรีส์เรื่องนี้ไม่สนุก  แน่นอนว่าตัวละครไม่ได้ดำเนินไปในกรอบที่มันควรจะเป็น แต่ถ้าคุณมองว่ามันมีสิ่งนี้อยู่บนโลกมันก็คือการเรียนรู้มนุษย์อีกเฉดนึงที่มันไม่มีทางสิ้นสุด”

Q : แล้วในฐานะคนที่สนใจงานเบื้องหลังด้วย ถ้าได้เขียนบทหนึ่งตอนของซีรีส์ “ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว” อยากให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร

อัด : “จริงๆ ถ้าทำได้ผมก็อยากขยายเรื่องของแสงจันทร์ต่อ พูดถึงชีวิตของเกย์โดยเฉพาะ

อีกเรื่องนึงถ้ามีคนส่งจดหมายไปปรึกษากับดร.ไคลแมกซ์ ประมาณว่า ดอกเตอร์ครับผมเป็นคนที่ไม่ฝักใฝ่เรื่องเพศ เป็น Asexual ที่ไม่รู้สึกอะไรกับใครเลย อยากรู้ว่าดอกเตอร์จะตอบยังไงเหมือนกัน ในบริบทของยุคนั้นที่อาจจะไม่มีคำนิยามแบบที่เรามีในยุคนี้  เพราะว่าคุณตอบแต่ปัญหาเรื่องเพศ แล้วคุณสามารถตอบปัญของคนที่ไม่ฝักใฝ่เรื่องเพศ หรือเรื่องที่มันซับซ้อนได้มั้ย เป็นจุดที่ผมคิดว่าถ้าเราไปเล่าในยุคนั้นมันอาจทำให้เรื่องมันดำเนินไปได้หลายทาง อาจจะน่าสนใจขึ้นที่ว่าพอดอกเตอร์ตอบไปแล้วมันอาจทำให้ชีวิตเค้าชิบหายก็ได้ หรือชีวิตเค้าอาจพบทางออก  เพราะว่าในเลเยอร์ของการเป็น Asexual มันก็มีหลายเฉด หลากมิติมาก ซึ่งผมมองว่าประเด็นนี้ก็น่าสนใจ  และถ้าคุณรู้สึกว่าถ้าคุณไม่อยากที่จะนิยามตัวเองก็ไม่เป็นไรเลย”

“ผมรู้สึกว่าเวลาคนพูดถึงเรื่องเพศหลายๆ ครั้ง คนมักจะบอกว่าแบบว่าคุณต้องออกไป นิยามตัวเอง ต้อง Come Out ซึ่งผมมองว่าไม่ได้ผิดอะไรถ้าคุณไม่รู้สึกว่าอยากจะพูดหรืออยากนิยามตัวเองซึ่งบางทีคุณอาจกำลังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ก็ได้ ซึ่งมันโอเคทุกอย่างใช้เวลาในการตามหา แล้วไม่ได้แปลว่าการที่คุณนิยามเรื่องเพศของตัวเองวันนี้ คุณจะเป็นแบบนี้ตลอดไปเพราะมันเปลี่ยนได้เสมอ คล้ายกับนิสัยของคนเราที่สามารถเปลี่ยนได้ตลอด ตอนคุณอายุ 5 ขวบ, 15 ขวบ, 25 ขวบ ก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน”

Q : มีบทบาทหรือตัวละครใดที่คุณฝันอยากแสดงในอนาคตมั้ย

อัด: “ผมอยากเล่นหนังรักที่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์จัดๆ ผมยังไม่เคยเล่นหนังที่เป็นเรื่องรักอย่างจริงจังเลยครับ เลยอยากให้คนดูได้เห็นมิติของการมีความสัมพันธ์แบบมนุษย์จริงๆ ซึ่งเปิดกว้างกับเรื่องของ Gender มากๆ อยากเป็นนักแสดงที่ทุบบทที่เราเล่นครับ เราได้เต็มที่กับมันจริงๆ เราได้อยู่กับตัวละคร เราได้ทำให้ตัวละครนั้นมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ หรือถ้าเราจะเลือกถ่ายทอดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือคาแร็คเตอร์ใดคาแร็คเตอร์หนึ่ง เราอยากให้คนได้เห็นหัวจิตหัวใจของตัวละครนั้น หรือเข้าใจในประเด็นที่หนังเรื่องนั้น หรือตัวละครนั้นกำลังสื่อสารอยู่จริงๆ เรารู้สึกว่าเราอยากให้มันไปถึงเบอร์นั้น แล้วก็รู้สึกให้ทุกงานมันเป็นงานที่เราได้พัฒนาตัวเองในฐานะนักแสดง ได้ชาเลนจ์ตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ทำสิ่งใหม่ๆ และถ้ามันเป็นงานที่สามารถพูดอะไรเพื่อสังคมได้ด้วยผ่านอาชีพของผมคือการเป็นนักแสดง เรายิ่งอยากทำ”      

“อย่างที่รู้กันว่าจริงๆ ว่าโอกาส หรือบางทีบทไม่ได้มาแบบนั้นตลอด บางทีมันก็ต้องรอ และเป็นอาชีพที่แบบต้องต่อสู้ และต้องยอมรับการถูกเลือกและถูกปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา  หรือไม่เราก็ต้องลุกขึ้นไปสร้างเอง มันก็มีอยู่ไม่กี่ทาง แต่ผมก็รู้สึกว่าอยากให้คนจำว่าเราคือนักแสดงที่เวลารับบทไหน แล้วเค้าเชื่อว่าเราเป็นตัวละครนั้นจริงๆ เป้าหมายผมคือไม่ได้อยากมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ผมแค่อยากทำสิ่งเนี้ยะไปเรื่อยๆ จริงๆ ก็อยากจะ Explore การแสดงหลากหลายรูปแบบไม่ใช่แค่แบบในฟิล์ม หรือว่าซีรีส์ ก็อยากลองในแบบที่เป็น Live Performance เป็นละครเวทีโรงเล็ก ถ้ามีโอกาส หรืออาจเป็น Physical Performance  เราก็รู้สึกสนใจ”

“พอมันเป็นเรื่องของการสื่อสารการแสดงเรารู้สึกสนใจในหลายๆ มิติ ของสิ่งนี้จริงๆ แล้วรู้สึกว่าอันเนี้ยะคือสิ่งที่เราอยากจะให้คนแบบติดตามเราใน Part นี้จริงๆ ส่วนชื่อเสียงผมกับรู้สึกว่าวันนึงถ้ามันจะมามันก็มามันควบคุมไม่ได้ แล้วเราก็ไม่ได้อยากจะควบคุมหรือไปโฟกัสว่าจะต้องดัง สิ่งนี้ไม่ใช่ Point หลัก แต่เราก็รู้นะว่าในสังคมปัจจุบันเรื่องของการมีชื่อเสียง การมี Marketing Value บางอย่างมันมีผลต่อการถูกเลือก ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ยากเหมือนเนาะ แต่ก็ไม่เป็นไรเราก็จะเลือกในเส้นทางของเราที่เลือกแล้วว่าเราอยากไปทางนี้ เราอยากให้คนจดจำเราในฐานะนักแสดง ที่คุณไม่ได้เลือกเพราะเราโด่งดัง แต่เราอยากให้คุณเลือกเพราะว่าเราเหมาะสมที่จะเป็นคาแร็คเตอร์นั้น คุณเชื่อว่าเราทำได้ คุณเชื่อในความสามารถ และศักยภาพของเราจริงๆ เราอยากทำงานบนความรู้สึกนั้นในฐานะนักแสดงครับ” 

Q : ขอกำลังใจให้กับ LGBTIQNA+ ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ครอบครัวหรือคนรอบข้างไม่ยอมรับในตัวตนของเค้า 

อัด: “อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่อยู่สถานการณ์นี้ ที่ยังไม่ถูกยอมรับว่าเรามีเพศวิถีของเราเป็นแบบไหน หรือเรามี Gender idenity แบบไหน แต่วันนึงสิ่งที่คุณเป็น หรือสิ่งที่คุณรู้สึกยอมรับตัวเองได้คือความกล้าหาญอย่างหนึ่งที่คุณได้ผ่านพ้นมาด้วยตัวเองแล้ว ที่เหลือคือสิ่งรอบข้างที่เค้าอาจกำลังเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามผ่านไป ขอเป็นกำลังใจ ขอให้ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็น จงภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ผมเชื่อว่าการยอมรับตัวเอง การที่คุณออกมาเป็นตัวเองอยู่ทุกวันนี้มันคือความกล้าหาญ และก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมากๆ อยากให้เก็บสิ่งนี้ไว้ ผมเชื่อวันในวันนึงจะมีคนอีกมากกมายที่เค้าพร้อมจะเข้าใจ ยอมรับ และโอบกอดคุณอยู่ ต่อให้เค้าไม่ใช่คนในครอบครัว ก็ลองมองออกมาที่คนเหล่านี้ดูครับ” 

Q : สุดท้ายมีอะไรอยากฝากถึงคนที่ยังไม่ได้ดูซีรีส์เรื่อง ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียวไหม 

อัด: “ก็อยากฝากติดตาม ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว ก็เป็นซีรีส์อีกเรื่องนึงที่พูดถึงเรื่องเพศอย่างหลากหลาย และก็ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีหลายๆ แง่มุมที่คนดูสามารถไปตีความต่อได้ในอีกหลายมิติ ก็อยากให้ทุกคนไปลองติดตามกันดูนะครับกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ที่ Netflix  ดูแล้วชอบอย่าลืมกด double thumb up ไว้เผื่อจะมีซีซั่น 2 ครับ”

อย่างที่เราทราบกันดีว่าซีรีส์ ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ปุจฉาพาเสียว เป็นซีรีส์ที่จะพาผู้ชมไปพบกับความอลหม่านที่เกิดขึ้นในยุคที่การพูดคุยเรื่องเซ็กซ์อย่างเปิดเผยยังเป็นเรื่องต้องห้าม ซึ่งมีทั้งหมด 8 ตอนด้วยกัน หากใครที่ยังไม่ได้ดูก็ไปดูกันได้เพราะเต็มไปด้วยหลากหลายแง่มุมให้ติดตามจริงๆ ทาง Genderation เราขอขอบคุณ “อัด อวัช รัตนปิณฑะ”  ที่ได้มีโอกาสมาร่วมพูดคุยกับเราในครั้งนี้ และขอร่วมเป็นกำลังใจในฐานะผู้ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ผ่านวิถีของนักแสดงที่เราขอชื่นชมในความสามารถ และยังไปได้ไกลในเส้นทางนี้ต่อไป ซึ่งดูมีความเป็นไปได้มากว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเค้าได้สื่อสารบทบาทของความหลากหลายทางเพศในฐานะมนุษย์คนนึงในรูปแบบของหนังรักก็ได้  

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner
Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง