พาชมนิทรรศการ Ghibli Exhibition พร้อมกับชวนคุยถึงตัวละครที่เรารัก

Studio Ghibli เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นของญี่ปุ่นที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 โดย Hayao Miyazaki, Isao Takahata และ Toshio Suzuki หลังจากก่อตั้งก็ได้สร้างโลกแห่งเวทมนตร์และความมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยจินตนาการแก่ผู้ชมทั่วโลกมากว่า 30 ปี

ไม่ว่าจะด้วยภาพวาดสีน้ำที่สวยงามน่าทึ่งเป็นธรรมชาติ บทเพลงประกอบที่ละเมียดไพเราะ ตัวละครที่มีชีวิตจิตใจ เนื้อเรื่องที่อบอุ่นและลึกซึ้ง เกี่ยวกับครอบครัว มิตรภาพ และสิ่งแวดล้อม ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้ ทำให้คนจำนวนมากรักภาพยนตร์ของสตูดิโอจิบลิอย่างเต็มหัวใจ 

จึงเป็นความตื่นเต้นตื่นตัวของเหล่าแฟนๆ สตูดิโอจิบลิ ที่ได้มีนิทรรศการจัดแสดงฉากและตัวละครจากภาพยนตร์แอนิเมชันของสตูดิโอ ในชื่อ The World of STUDIO GHIBLI’s Animation Exhibition Bangkok 2023 ที่ Central World กรุงเทพฯ ตลอดช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคมนี้ค่ะ

ภาพยนตร์แอนิเมชันทั้ง 10 เรื่องที่ถูกนำมาจัดแสดง ได้แก่ Nausicaa of The Valley of the Wind, Howl’s Moving Castle, LAPUTA Castle in the Sky, Kiki’s Delivery Service, Porco Rosso, My Neighbour Totoro, Pom Poko, Princess Mononoke, Spirited Away และ Ponyo on a Cliff by the Sea 

ไหนๆ เราก็ได้ไปชม STUDIO GHIBLI’s Exhibition มาแล้ว นอกจากได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ก็อยากเขียนเล่าถึงตัวละครแต่ละตัว เรียงตามลำดับการจัดแสดงใน Exhibition ว่าคนนี้เค้าทำอะไร มีคุณสมบัติที่พิเศษ และเติบโตผ่านเรื่องราวในภาพยนตร์อย่างไร หากอ่านแล้วเห็นด้วยหรือมีมุมมองเพิ่มเติม เขียนบอกกันด้วยได้เลยนะคะ

ชวนคุยถึงตัวละครที่เรารักในภาพยนตร์แอนิเมชันจิบลิ จากแง่มุมของแฟนภาพยนตร์คนหนึ่ง

Nausicaa of The Valley of the Wind (นาอุสิกะ มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม)

คนแรกที่เราจะได้พบใน GHIBLI’s Exhibition คือ เจ้าหญิงนาอุสิกะ จาก เมืองหุบเขาแห่งสายลม เมืองที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากทะเลเน่าที่เป็นบ่อเกิดของแมลงร้ายกลายพันธุ์และพืชมีพิษ

นาอุสิกะ 

นาอุสิกะ เป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนโยนกับสิ่งมีชีวิต เติบโตมาเป็นเด็กสาวที่มีมนุษยธรรมและรักสันติ ด้วยความละเอียดอ่อนอ่อนโยน ทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ไว้วางใจเธอ นาอุสิกะมักจะออกไปสำรวจพื้นที่รกร้างที่เป็นพิษที่อยู่รอบๆ เมืองด้วยเครื่องร่อนที่เรียกว่า Mehve เป็นยานพาหนะส่วนตัว เธอเก็บเอาซากของแมลงมาใช้งาน เก็บเอาเมล็ดพันธุ์ของพืชมีพิษมาทดลองเพาะ เธอใคร่ครวญถึงความเป็นพิษและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติได้อย่างชาญฉลาด 

ในเนื้อเรื่อง นาอุสิกะจำเป็นต้องสู้รบกับตัวแทนจากเมืองอื่นๆ ที่ต้องการจะทำลายป่าพิษด้วยการใช้อสูรยักษ์ในตำนานที่สามารถพ่นไฟเผาทุกอย่างได้ นาอุสิกะรู้ดีว่าภาวะเป็นพิษเหนือพื้นดินในป่ามาจากสารพิษที่ลอยมาจากทะเลเน่า ซึ่งก็เกิดจากมาระบบอุตสากรรมของมนุษย์ในยุคก่อนหน้า ไม่ใช่ความผิดของสิ่งมีชีวิตในป่าที่กลายพันธุ์และพยายามปกป้องป่าไว้ นาอุสิกะยังพบความจริงจากการทดลองเพาะปลูกพืชโดยใช้น้ำใต้ดินที่บริสุทธิ์ ว่าป่าต่างหากที่ช่วยกรองสารพิษเหนือพื้นดินและพยายามปรับสมดุลเพื่อหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตที่เหลือ ท้ายสุดแล้วจากการต่อสู้และเสียสละจนได้รับบาดเจ็บ ตัวโอม (หรือโอมุในภาษาญี่ปุ่น) ก็หยุดเกรี้ยวกราดและหันมารักษานาอุสิกะที่มีความตั้งใจแรงกล้าในการปกป้องป่าและสิ่งมีชีวิตในป่าโดยไม่ใช้ความรุนแรง และกลับกลายเป็นว่า ตำนานนักสู้ในชุดสีฟ้าบนทุ่งหญ้าสีทองที่ถูกทำนายไว้บนผนัง ก็คือ นาอุสิกะ นั่นเอง

คุณสมบัติที่พิเศษของนาอุสิกะ คือการมองเห็นความจริงด้วยสายตาที่อ่อนโยน มีความเห็นอกเห็นใจ ผ่อนปรนต่อผู้อื่น มีสติปัญญา มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง และพยายามหาหนทางในการอยู่ร่วมกันอย่างคำนึงถึงสันติสุขของทุกชีวิต

นาอุสิกะ ยังเป็นตัวละครที่ทำให้เห็นถึงการอนุรักษ์และการฟื้นฟูธรรมชาติที่เสื่อมโทรม รวมถึงการฟื้นฟูสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติด้วย

(Nausicaa of The Valley of the Wind เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ถูกเรียบเรียงจากต้นฉบับหนังสือการ์ตูนที่ Hayao Miyazaki เป็นคนเขียนเอง หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างและเข้าฉายในปี 1984 สตูดิโอจิบลิก็ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1985 และผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันที่น่าจดจำมาจนถึงทุกวันนี้)

Howl’s Moving Castle (ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์)

เมื่อเดินผ่านม่านสีดำ เราจะได้เจอปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ที่ตั้งอยู่บนเนินหญ้าและมีกลไกขยับได้จริงๆ ทำให้รู้สึกถึงแคลซิเฟอร์ที่กำลังทำงานหล่อเลี้ยงปราสาทอยู่และคนอื่นๆ ก็คงหลับปุ๋ยอยู่ข้างใน เฉพาะเรื่องนี้ก็อยากจะพูดถึงทั้งฮาวล์และโซฟีเลยค่ะ

ฮาวล์

พ่อมดที่ทำข้อตกลงเพื่อช่วยเหลือดาวตกที่กำลังดับแสงชื่อแคลซิเฟอร์ ให้สามารถมีขุมพลังขึ้นมาได้อีกครั้งแลกกับการที่แคลซิเฟอร์จะใช้พลังหล่อเลี้ยงให้ปราสาทของฮาวล์เคลื่อนที่ได้ ด้วยความที่ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย ทำให้ฮาวล์ทำบางสิ่งที่พ่อมดแม่มดอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ เช่น การแปลงร่างเป็นนก แต่ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็เปรียบถึงตัวฮาวล์เองที่ไม่มีหัวใจที่แข็งแกร่งอยู่กับตัว ทำให้ไม่กล้าหาญ ซ่อนตัวหลบหนีจากแม่มดที่พยายามตามล่า และไม่ยอมรับในตัวเอง

ฮาวล์ฟื้นตัวขึ้นจากความอ่อนแอหวาดกลัวจากการที่ได้รับการดูแลที่ดีและมีคนให้ความเชื่อมั่น เมื่อโซฟีบอกกับฮาวล์ว่า เธอรัก โดยไม่สนว่าฮาวล์จะเป็นปีศาจที่น่าเกลียดแค่ไหน วันต่อมาฮาวล์บอกโซฟีก่อนออกไปต่อสู้กับยานรบว่า “ฉันจะไม่หนี ในที่สุดฉันก็เจอคนที่อยากจะปกป้อง นั่นก็คือเธอ” ต้องยอมรับว่าพลังแห่งความรักและความเชื่อมั่นนั้นผลักดันให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นและมั่นใจขึ้นได้จริงๆ เมื่อผสานรวมกับที่ฮาวล์เป็นคนรักความสงบและไม่ต้องการสงคราม เราจะเห็นว่าฮาวล์ไม่ปฏิเสธการให้ที่อาศัยแก่ผู้ที่ต้องการ และฮาวล์มองว่าเครื่องบินรบของเมืองตนเองหรือของเมืองศัตรูก็สร้างความเลวร้ายไม่ต่างกัน ฮาวล์จึงทุ่มเทต่อสู้เพื่อยุติลูกกระสุนของทุกฝ่าย

เราทุกคนมีคุณสมบัติความกล้าหาญอยู่ในตัว เราเพียงต้องการต้นน้ำแห่งความรักและกำลังใจ เหมือนที่ฮาวล์ได้รับจากโซฟี เหมือนที่แคลซิเฟอร์และหุ่นไล่กาได้รับจากโซฟี ความรักและกำลังใจเป็นเหมือนมนต์ที่ช่วยทลายคำสาปทุกชนิดและทำให้เราทุกคนแข็งแกร่งขึ้นได้

โซฟี

โซฟีเป็นหญิงสาวช่างทำหมวกที่หน้าตาธรรมดาและเธอบอกตัวเองเสมอว่าเธอไม่สวย โซฟีมีแม่ที่สวยมากและแต่งตัวเก่ง มีน้องสาวที่เป็นนักขายช่างเจรจาและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่พบเห็น วันหนึ่งที่โซฟีเดินอยู่ในตรอกก็ได้ฮาวล์มาช่วยจากการถูกคุกคาม การเจอฮาวล์ครั้งนั้นทำให้แม่มดที่ต้องการหัวใจของฮาวล์สาปให้เธอกลายเป็นหญิงชรา

โซฟีอาจจะเป็นคนไม่สวยจริงๆ อย่างที่ตัวละครของจิบลิไม่เคยใช้ความสวยงามเป็นตัวนำ โซฟียังมีนิสัยขี้อายและเก็บตัว แต่สิ่งที่เรารักในตัวโซฟี คือเธอเป็นคนที่ยอมรับในตัวเอง เธอไม่มีจิตใจมุ่งร้ายหรืออิจฉาริษยา แถมยังใจดี ฉลาด และรู้จักปกป้องตัวเองเมื่อถึงคราวจำเป็น 

การเติบโตของโซฟีจึงไม่ใช่การเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเองเหมือนฮาวล์ เธอมีคุณสมบัตินี้อยู่เต็มเปี่ยม มากพอที่จะทำให้เธอมองเห็นข้อดีของคนอื่นและเป็นขุมกำลังใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ การเติบโตของโซฟีคือการตัดสินใจออกมาจากพื้นที่ที่เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอควรอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า เป็นการออกไปเผชิญโลกด้วยเจตจำนงของตัวเอง อาจเป็นเพราะคิดว่าถูกสาปให้เป็นยายแก่แล้วจึงไม่มีอะไรจะเสีย แต่การที่โซฟีตัดสินใจออกมาจากบ้าน ทำให้โซฟีได้มาพบกับคนอื่นๆ และสร้างความสัมพันธ์ใหม่จนสามารถเรียกว่าเป็น “ครอบครัว” ให้แก่กันได้ 

มีฉากหนึ่งที่ฮาวล์ร้องห่มร้องไห้จากสีผมที่เปลี่ยนไปของตัวเองซึ่งฮาวล์มองว่าทำให้เขาไม่ดูรูปงามอีกต่อไปและพูดขึ้นมาว่า “จะมีชีวิตอยู่ไปทำไมถ้าหน้าตาไม่ดี” โซฟีที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจจึงประกาศว่า เธอทนไม่ไหวแล้ว เธอเป็นคนไม่สวย และจะไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่หลังจากนั้นเธอก็ตั้งสติ มองเห็นว่าสิ่งนี้ช่างดราม่า มองข้ามความไม่เป็นสาระของการใส่ใจรูปลักษณ์ภายนอก และกลับไปแก้ไขสถานการณ์ให้เรียบร้อย นอกจากนี้ โซฟียังตัดสินใจทำลายปราสาทเวทมนตร์เพราะรู้ว่าแม่มดกำลังตามรอยฮาวล์ เธอตัดสินใจเด็ดขาดในสิ่งที่เป็นอันตรายเพื่อรักษาชีวิตของฮาวล์และทุกคนไว้

พูดได้ว่าโซฟีเป็นตัวละครที่มีจิตใจใฝ่ช่วยเหลือผู้อื่นและสามารถหยัดยืนเพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาได้อย่างเข้มแข็ง เธอใจดี มีไหวพริบ และกล้าหาญ โซฟีจึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพวกเราและทำให้เราเชื่อว่าการเอาชนะความท้าทายต่างๆ นั้นเป็นไปได้

LAPUTA Castle in the Sky (ลาพิวต้า พลิกตำนานเหนือเวหา)

ถัดจากมุมมองสวนดอกไม้ 360 องศา เราจะได้เจอกับชีต้า (หรือชื่อเต็ม คือ ลูซีต้า โทเอลล์ อูร์ ลาพิวต้า) ที่ลอยตัวอยู่ในท่าหงาย สวมชุดสีฟ้าชุดเดียวกับที่หล่นลงมาจากเครื่องบินในฉากแรก แสงสีฟ้าโดยรอบน่าทึ่งราวกับฉากในภาพยนตร์เลยทีเดียว ถัดจากตรงนี้ มีฉาก ปาซู พา ชีต้า วิ่งหนีจากคุณป้าโดลาโจรสลัด และที่ตื่นตาสุดๆ คือฉากที่ปาซูเกาะเครื่องร่อนเพื่อคว้าตัวชีต้ามาจากหอคอยที่ถูกระเบิดและกำลังจะถล่ม สีเพลิงส้มแดงจัดจ้าน ถ่ายภาพออกมาสวยมากค่ะ

ชีต้า – ลูซีต้า โทเอลล์ อูร์ ลาพิวต้า

ชีต้าเป็นเด็กผู้หญิงที่พ่อแม่เสียไปแล้วและใช้ชีวิตอยู่เองบนที่ดินและบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ เธอมีคริสตัลห้อยคอของตระกูลที่ได้รับจากแม่และถูกกำชับให้เก็บเป็นความลับ พร้อมกับได้เคยฝึกท่องคาถาที่ทำให้คริสตัลแสดงพลังที่แฝงอยู่ ชีต้าไม่เคยรู้จักลาพิวต้า ปราสาทบนเกาะที่ลอยอยู่บนฟ้า และไม่รู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสร้อยคริสตัลเลย จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนจากรัฐบาลที่ต้องการครอบครองลาพิวต้า เขาจึงจับตัวชีต้าพร้อมกับริบสร้อยคริสตัลหวังจะปลุกลาพิวต้าให้ตื่นขึ้นอีกครั้งและครอบครองเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

ชีต้าที่ดูโดดเดี่ยวถูกจับและกักตัวโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากการพยายามหนีทำให้เธอได้พบกับปาซู เพื่อนที่ทั้งดูแล แบ่งปันอาหาร และปกป้องเธออย่างจริงใจตลอดช่วงที่ถูกตามล่า ชีต้าให้ความไว้ใจปาซูและทั้งคู่ตัดสินใจไปลาพิวต้าด้วยกัน 

ชีต้าไม่ใช่คนโลภ เมื่อคนของรัฐบาลพูดถึงลาพิวต้าเกี่ยวกับอำนาจและทรัพย์สมบัติ เธอก็บอกตั้งแต่แรกว่าเธอไม่ต้องการ เมื่อได้เข้าไปในดินแดนลาพิวต้าที่ล่มสลาย เหลือเพียงหุ่นยนต์ที่ตั้งใจดูแลสวนตามที่ถูกโปรแกรมไว้ก็ยิ่งทำให้ชีต้ารู้สึกเศร้า ทำให้ชีต้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะใช้คาถาทำลายลาพิวต้าเพื่อปกป้องลาพิวต้าจากการถูกครอบครอง และเธอก็ทำสำเร็จโดยมีปาซูอยู่เคียงข้าง

ตลอดเนื้อเรื่อง สิ่งเดียวที่ชีต้าต้องการคือ ปาซู เพื่อนที่แสดงออกต่อเธออย่างจริงใจและใส่ใจในความทุกข์ของเธอ ความสัมพันธ์ของตัวละครในภาพยนตร์จิบลิมักจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ เราอาจเห็นเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย ซึ่งเราจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ความสดใส ความเศร้า ความสุข ความกล้าหาญ ของตัวละครอย่างไม่มีกรอบเพศ 

ลาพิวต้า จึงเป็นรื่องที่ทำให้เรารู้สึกถึงมิตรภาพ ความฝัน และความหวัง ทำให้เรานึกถึงการมีเพื่อนที่ไว้ใจและพึ่งพาได้ การได้ทำตามสิ่งที่เราเชื่อเพื่อค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง รวมทั้งการเชื่อว่าตัวเราจะสามารถหยุดยั้งสิ่งเลวร้ายไม่ให้เกิดขึ้นได้ 

Kiki’s Delivery Service (แม่มดน้อยกิกิ)

ใน GHIBLI’s Exhibition มีฉากของ Kiki’s Delivery Service ที่เราสามารถเล่นด้วยได้และน่ารักมากๆ อยู่ 3 ฉาก คือ ฉากทอมโบปั่นจักยาน ฉากกิกิบินเข้าไปช่วยทอมโบ และ ฉากที่แม่มดน้อยกิกิมองลงมาจากการขี่ไม้กวาด 

กิกิ

กิกิ คือ แม่มดน้อย วัย 13 ปี ที่ต้องออกเดินทางจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างเมืองเองให้ได้เป็นเวลา 1 ปี เพื่อฝึกฝนความเป็นแม่มดของตัวเอง พ่อกับแม่ได้ให้ไม้กวาดที่บินได้กับกิกิ และมีแมวสีดำชื่อ จิจิ ออกเดินทางไปกับ กิกิ ด้วย คำพูดที่พ่อบอกก่อนกิกิก่อนออกเดินทางคือ “ถ้าไม่เป็นไปตามหวัง ก็กลับมาได้เสมอนะ” เป็นถ้อยคำที่ชวนให้อบอุ่นใจ เสริมพลังแม่มดน้อยเป็นอย่างดี

การเติบโตของ กิกิ อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองในเมืองที่ตัดสินใจเลือกเอง ต้องเผชิญกับความไม่พึงพอใจ ทั้งไม่พึงพอใจในตัวเอง ไม่พึงพอใจในตัวคนอื่น เกิดความสงสัยในตัวเอง คิดว่าตนเองไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ กิกิ เกิดขึ้นในวันหนึ่งที่ กิกิ พบว่าตนเองไม่สามารถฟัง จิจิ ได้รู้เรื่องอีกแล้วและการบินบนไม้กวาดก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้อีกต่อไป หลังผ่านความสับสนและให้เวลาตัวเองได้ใคร่ครวญ กิกิ ก็ได้นำศักยภาพของตัวเองกลับมาต่อหน้าชาวเมือง จากความตั้งใจช่วยเหลือ ทอมโบ เพื่อนที่ห้อยอยู่กับเชือกบนที่สูงที่กำลังจะได้รับอันตรายโดยการขี่ไม้กวาดทำความสะอาดของคุณลุงคนหนึ่ง

การออกไปสู่สังคมใหม่ (เมืองที่เลือกเอง) ของ กิกิ ทำให้ กิกิ ต้องพบกับการไม่ถูกยอมรับในตัวตนและการไม่ได้ทำงานของตนที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น ซึ่งทำให้กิกิเริ่มสงสัยถึงตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองบนโลกใบนี้ และหมกมุ่นกับการตามหาพลังแม่มดของตัวเองกลับมา

ท้ายที่สุด กิกิ ก็พบตัวเองจากการตั้งใจใช้พลังของตัวเองช่วยเหลือเพื่อน สามารถกลับมาบินได้อีกครั้ง และรู้สึกถึงความพึงพอใจในชีวิต เปรียบกับสภาวะที่เกิดขึ้นได้ของเราทุกคน อาจมีวันที่เราไม่พร้อม ไม่มั่นใจ เผชิญหน้ากับอุปสรรคขัดขวาง แต่เมื่อจิตใจเรามั่นคงและแข็งแกร่ง รวมถึงการมี support system ที่ดี เราจะสามารถแสดงศักยภาพของเราออกมาได้อีกครั้ง ในแบบที่มั่นใจ เป็นธรรมชาติ และเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งตรงนั้นล่ะ คือตำแหน่งแห่งที่ของเราบนโลกใบนี้

Porco Rosso (พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน)

นับว่าเป็นเรื่องที่เราตื่นเต้นด้วยน้อยที่สุดเนื่องจากมีตัวละครผู้ชายเป็นตัวนำ (ฮ่า) แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว ปอร์โก ก็เป็นตัวแทนของคนที่ผ่านชีวิตมาแล้วครึ่งหนึ่ง มีเหตุการณ์ที่ตัวเองประสบซึ่งไม่เคยถูกสะสางและติดค้างอยู่ในใจ นับเป็นเรื่องราวฉากหนึ่งของชีวิต ที่มีตัวละครสาวน้อยห้าวๆ เข้ามาทำให้โทนของหนังไม่จมจ่อมเศร้าหมอง แถมมีส่วนช่วยให้ตัวละครหลักคลี่คลายได้นิดนึงด้วย

ฟิโอ

ชัดเลยว่าเลือกเขียนถึง ฟิโอ มากกว่า ปอร์โก รอสโซ นั่นก็เพราะถูกใจประโยคที่ ฟิโอ ถามปอร์โก ตอนที่เขาตัดสินใจไม่จ้างเธอออกแบบเครื่องบิน ว่า “เพราะฉันเป็นผู้หญิงหรือเพราะฉันยังเด็ก?” เขาตอบว่าทั้งสองเหตุผล แต่ด้วยไหวพริบและความฉลาดของฟิโอ เธอก็ต่อรองจนได้ออกแบบเครื่องบินจริงๆ นั่นแหละ

ฟิโอเป็นตัวละครที่ดูมาดมั่น ในเนื้อเรื่องบอกว่าเธอเป็นหลานของเจ้าของโรงงานสร้างเครื่องบินที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกา แปลว่าเธอมีความรู้เรื่องโครงสร้างเครื่องบินทั้งของฝั่งตะวันออกและตะวันตกฟิโอยังช่วยปรับแต่งทางเทคนิคเพื่อให้เครื่องบินของปอร์โกทำงานได้มากขึ้น แต่ถึงแม้จะออกแบบเครื่องบินได้ดี ฟิโอที่อายุ 17 ปี ก็ยังอ่อนเยาว์ มีความสดใส และปลื้มนักบินเครื่องบินรบรุ่นใหญ่ด้วย

Porco Rosso เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิเรื่องเดียวที่มีมวล “ชายแท้” หนักมาก ด้วยความที่ Porco Rosso เป็นทหารนักขับเครื่องบินรบมาก่อน ท่าทางและคำพูดคำจาก็เลยออกมามัสคูลีนสุดๆ เช่น ไว้หนวดยาว คาบบุหรี่ตลอดเวลา มักจะถูกแซวว่าเจ้าชู้ พูดถึงกลุ่มผู้หญิงที่มาช่วยกันประกอบเครื่องบินว่าเหมือนมาทำแพนเค้ก แซวขนาดก้นของฟิโอ ฯลฯ ซึ่งตัวละคร ฟิโอ ก็รับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เธอตอบโต้ด้วยความมั่นใจ ใช้วิธีมองโลกในแง่ดี และท้าทายกลับอย่างตรงไปตรงมา 

องค์ประกอบเล็กๆ ในเรื่องที่น่าประทับใจอีกอย่างก็คือ ทีมประกอบเครื่องบินเป็นผู้หญิงจำนวน 10 คน  ทั้งออกแบบ เลื่อยไม้ ทำโครงสร้าง พ่นสี ประกอบตัวเครื่อง โดยมีประโยคยืนยันจากเจ้าของโรงงานว่า “ผู้หญิงน่ะแข็งแรงและทำงานหนักกันมาก” ตอนจบของเรื่องก็มีบอกว่า ฟิโอเป็นคนรับช่วงกิจการโรงงานสร้างเครื่องบินต่อจากปู่ด้วย ช่างน่าปลื้มในความตั้งใจเสริมกำลังผู้หญิงและส่งเสริมบทให้เด็กสาวเติบโตได้อย่างดี เหมาะกับการเป็นภาพยนตร์ของฮายาโอะ มิยาซากิ แหละเนอะ

My Neighbour Totoro (โทโทโร่เพื่อนรัก)

นี่คือสุดยอดภาพยนตร์แอนิเมชันในดวงใจของใครหลายคน ใน GHIBLI’s Exhibition เราจะได้พบกับภาพโตโตโร่เป่าขลุ่ยโอคารีนาอยู่บนกิ่งต้นโอ๊ค ได้มองด้วยมุมสายตาจากห้องนอนในโรงพยาบาลของแม่ที่เห็นฝักข้าวโพดตรงขอบหน้าต่างและเด็กๆ อยู่บนกิ่งไม้กับรถเมล์แมว มีโพรงต้นไม้ที่เราสามารถส่องเข้าไปดูเห็นโตโตโร่นอนหายใจอยู่ และมีฉากที่น่าจดจำที่สุด คือฉากฝนตกที่ซัสสึกิ เมจัง และโตโตโร่ ยืนถือร่มรอพ่ออยู่ที่ป้ายรถเมล์ให้เราสามารถถ่ายรูปด้วยได้ เรื่อง My Neighbour Totoro เป็นเรื่องที่ 6 จากทั้งหมด 10 เรื่อง ดังนั้นใครที่เดินมาถึงครึ่งทางแล้วแบตเตอรี่กล้องใกล้หมดต้องอย่าลืมถนอมแบตเอาไว้ด้วยนะคะ

ซัตสึกิ

ซัตสึกิ เป็นลูกสาวคนโตของพ่อกับแม่ เป็นพี่สาวของเมย์จัง ครอบครัวนี้ย้ายจากในเมืองมาอยู่บ้านไม้หลังใหญ่ในชนบท ที่ทำให้สองพี่น้องได้พบกับความมหัศจรรย์และน่าทึ่งจากป่าเก่าแก่หลังบ้าน 

โตโตโร่เป็นเทพพิทักษ์ป่าที่ตัวนุ่มฟูและใจดีที่ช่วยให้เด็กทั้งสองคนผ่านช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวและเผชิญกับความยากลำบากไปได้

เราจะเห็นลำดับการเติบโตของซัตสึกิได้เด่นชัดจากในเนื้อเรื่อง แม่ของซัตสึกิป่วย ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ซัตสึกิ จึงเป็นพี่สาวที่มีน้องสาวเป็นเพื่อนและตัวเองก็ต้องคอยดูแลน้องสาว ทั้งเล่นด้วย เตรียมอาหาร พาอาบน้ำ ในวันที่พ่อไม่อยู่ ซัตสึกิก็พาน้องไปอยู่ด้วยที่โรงเรียน ซัตสึกิพยายามทำหน้าที่แทนแม่ด้วย ทั้งช่วยปัดกวาดบ้าน ในวันฝนตกก็เอาร่มออกไปรอรับพ่อที่ป้ายรถเมล์ เมื่อน้องสาวง่วงนอนซัตสึกิก็แบกน้องไว้ที่หลัง  ในวันที่น้องหายตัวไปซัตสึกิก็ตามหาน้องไปพร้อมๆ กับโทษตัวเอง

แน่นอนว่าความเป็นพี่สาวและลูกสาวคนโตทำให้ซัตสึกิต้องแบกรับทั้งอารมณ์ของตัวเองและความคาดหวังของตัวเองที่จะทำหน้าที่ได้ดีในครอบครัว ในวันที่หวาดกลัวและแตกสลาย เธอจึงร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายน้องสาว โชคดีที่ความเจ็บปวดเหล่านั้นได้รับการดูแลและช่วยเหลือจากเทพพิทักษ์ป่าโตโตโร่ ทำให้ทั้งซัตสึกิและเมย์แปรเปลี่ยนความหวาดกลัว เป็นความสงสัย ความอบอุ่นใจ และความกล้าหาญ

ซัตสึกิเขียนจดหมายถึงแม่  ใจความของจดหมายทำให้เราคนดูไว้วางใจในการเติบโตของซัตสึกิ เธอยังมีความรับผิดชอบ มีอารมณ์ขัน และรับมือกับความกังวลต่างๆ ที่มีได้ สาเหตุมาจากความสัมพันธ์แน่นแฟ้นในครอบครัว การที่พ่อตั้งใจดูแลแม่อย่างดี การที่แม่ให้ความรักและขอบคุณที่ซัตสึกิดูแลหลายอย่างแทนแม่ รวมกับการที่ซัตสึกิเริ่มปรับตัวกับเพื่อนๆ โรงเรียนใหม่ได้แล้ว

ซัตสึกิเป็นตัวละครที่มีการพัฒนาอย่างดี เป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแกร่งและมีจิตใจเป็นอิสระ เป็นคนที่ใจดีและห่วงใยผู้อื่น ซัตสึกิจึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กผู้หญิงหลายคน เธอแสดงให้เห็นว่าเด็กผู้หญิงทุกคนสามารถมีความอ่อนโยนในแบบผู้หญิงได้และในขณะเดียวกันก็มีความเข้มแข็งด้วย

Pom Poko (ปอมโปโกะ ทานุกิป่วนโลก)

ถัดจากโตโตโร่ เราจะได้พบกับฉากของเรื่อง Pom Poko ที่มีรูปภาพสีสันสดใสจากต้นข้าวและพืชหลากสีในช่วงเปลี่ยนฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น มีตัวทานูกิโผล่มาตัวเล็กๆ และถัดจากฉากนี้ก็มีการตบแต่งพื้นที่ภายในบ้านของปอมโปโกะที่น่ารักสมจริงมากทีเดียว

โชคิจิ – กอนตะ

โชคิจิ กับ กอนตะ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันในชุมชนทานุกิ แผนการขยายของเมืองของโตเกียวทำให้พื้นที่ป่าถูกรุกรานจนทานุกิไม่มีที่อยู่อาศัย เหล่าทานุกิจึงใช้พลังพิเศษของตัวเอง นั่นคือ การแปลงร่าง เพื่อให้มนุษย์หยุดทำโครงการขยายเมือง พวกเขาหาทานุกิและจิ้งจอกชั้นครูมาช่วยให้พวกเขาสามารถแปลงร่างได้ดีขึ้น แต่ท้ายสุดความพยายามก็ไม่เป็นผล เพราะมนุษย์ยังคงเดินหน้าถางป่าและเปลี่ยนเป็นพื้นที่อาศัยของคนที่มาทำงานในโตเกียว เหลือเพียงพื้นที่สาธารณะเล็กๆ ที่เป็นพื้นที่สีเขียว ซึ่งไม่เพียงพอต่อการอาศัยอยู่ของทานุกิ สัตว์ตัวเล็กอื่นๆ ก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เช่นกัน

ในเรื่องนี้ต้องการเขียนถึง โชคิจิ และ กอนตะ ในท่อนเดียวกัน เพราะว่าทั้งคู่ตั้งใจช่วยเหลือชุมชนทานุกิด้วยความมุ่งมั่นเหมือนกัน ต่างกันที่ โชคิจิ มักจะมีไอเดียในการพยายามความเข้าใจมนุษย์ หาทางอยู่ร่วมที่ไม่เบียดเบียนกัน เขาไม่ต้องการทำความรุนแรงใดๆ ต่อชีวิตอื่น และเชื่อว่าการหลอกหลอนให้ตกใจกลัว หรือแสดงความเสียใจเพื่อให้ได้รับความเห็นใจก็น่าจะเพียงพอต่อการขับไล่มนุษย์แล้ว ส่วนกอนตะ เป็นทานุกิตัวใหญ่ที่ต้องการกระทำอย่างรุนแรง เขาเชื่อว่าการกลั่นแกล้งให้มนุษย์เสียชีวิตบ้าง จะได้ผลดีกว่าการรอคอยให้มนุษย์เห็นใจ กอนตะพร้อมต่อยตีแบบตาต่อตา และต้องการขับไล่มนุษย์ทั้งหมดให้ออกไปจากพื้นที่ป่า

ตลอดทั้งเรื่อง เป็นการต่อสู้หลายรูปแบบของทานุกิ โดยมีโคอิจิและกอนตะเป็นคานงัดให้แก่กันในการหารืออยู่เสมอ ด้วยความที่โคอิจิเน้นการประสานไมตรี และ กอนตะเน้นการต่อสู้ที่ทำให้มนุษย์ต้องล่าถอยอย่างไม่เห็นใจ แต่ตลอดทั้งเรื่องไม่ว่าจะใช้วิธีไหน สุดท้ายก็ถูกมนุษย์มองข้าม เดินหน้าถางป่าและปลูกสิ่งก่อสร้างบนพื้นที่จนได้

ปอมโปโกะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาเพื่อเล่าถึงการขยายของเขตเมืองที่รุกรานสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติโดยเฉพาะทานุกิ ดังนั้นนอกจากการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ของเหล่าทานูกิแล้ว การชมภาพยนตร์ให้ความรู้สึกเจ็บช้ำจากการถูกรุกรานที่อยู่ของทานุกิเสียมากกว่า และทำให้ได้เห็นว่ามนุษย์มีอำนาจมากแค่ไหนในการทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ตน

Princess Mononoke (เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร)

ที่ห้องแสดงฉากของเรื่อง Princess Mononoke เราจะได้พบกับ ซาน พร้อมกับหมาป่าสีขาวจำนวน 3 ตัวซึ่งเป็นครอบครัวของเธอ ฉากฝั่งตรงข้ามเป็น อาชิทากะ ที่กำลังขี่กวางแดงเดินเข้าป่าพร้อมกับมีตัวโคดามะซึ่งเป็นจิตวิญญาณของต้นไม้ปรากฏอยู่ด้านหลัง ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือมีจอขนาดใหญ่ที่มี ชิชิกามิ หรือกวางคิรินยักษ์สีขาวที่เป็นจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของป่าปรากฏตัวอยู่กลางป่าให้เรามองเห็นด้วย

ซาน

ซาน คือเด็กที่ถูกเลี้ยงโดยฝูงหมาป่าสีขาว เธอเติบโตมาอย่างเป็นสมาชิกที่ซื่อสัตย์ของป่า เธอล่าสัตว์เหมือนหมาป่า เป็นนักรบที่ดุร้าย เธอเชื่อว่ามนุษย์เป็นศัตรูของป่า และตั้งใจปกป้องป่าจากการถูกรุกรานโดยมนุษย์ จนเมื่อเธอได้พบกับ อาชิทากะ คนที่ตั้งใจเข้าไปในป่าเพื่อหาทางลบล้างคำสาป อาชิทากะ แตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ เขาเป็นคนใจดี มีเมตตา และเคารพป่า ทำให้ ซาน รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่เลวร้าย ในตอนท้าย ซาน ได้เข้าใจโลกในแบบที่ต่างออกไป เธอตระหนักว่ามนุษย์และป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ และเธอยินดีที่จะร่วมมือกับ อาชิทากะ เพื่อหาวิธีสร้างสันติภาพต่อภายในของตัวเอง และความสมดุลในการอยู่ร่วมระหว่างป่า มนุษย์ และทุกสิ่งมีชีวิต

สิ่งที่ทำให้ ซาน เติบโตขึ้นได้ในเรื่องนี้ก็คือ เธอเรียนรู้ที่จะไว้วางใจผู้อื่น ในตอนต้นที่ซานไม่ไว้ใจมนุษย์เอามากๆ เพราะเธอเชื่อว่ามนุษย์ล้วนชั่วร้าย แต่การเรียนรู้ที่จะเชื่อใจอาชิทากะ ทำให้เกิดมิตรภาพ และที่มากกว่าไปนั้นคือ ซาน ได้เรียนรู้ที่จะละทิ้งความเกลียดชังของตัวเอง พร้อมๆ กับที่ อาชิทากะ ก็ได้เรียนรู้ถึงความโกรธเกรี้ยวเกลียดชังบนรอยสาปที่แขน สิ่งเหล่านี้เองที่นำไปสู่ความรุนแรงที่เลวร้าย

อีกเรื่องที่เราได้เรียนรู้ไปพร้อมกับ ซาน ก็คือ เธอเรียนรู้ที่จะหาสมดุลระหว่างป่ากับมนุษย์ โดยไม่จำเป็นต้องกำจัดทำลายสิ่งหนึ่งเพื่อรักษาอีกสิ่งหนึ่งไว้ แม้จะไม่มีคำตอบสุดท้ายว่าต้องแบ่งสรรอย่างไร ภาพฉายของฝั่งความหวงแหนที่ต้องการปกป้องป่าและฝั่งความต้องการใช้ทรัพยากรจากป่า ดูจะสวนทางกัน แต่เราก็สรุปได้จากฉากจบของภาพยนตร์ ว่าแต่ละฝ่ายต้องยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่า ลดอคติ ความโกรธ ความเกลียด และความกลัว แล้วค้นหาความสงบในการอยู่ร่วมโดยไม่เบียดเบียนกัน

อย่างไรก็ตาม การถ่ายทอดถึงธรรมชาติที่ถูกทำลาย ทั้งการรุกล้ำพื้นที่ธรรมชาติเพื่อแสวงหาประโยชน์ และ การตายของ ชิชิกามิ ที่หมายถึงการล่วงล้ำทำลายปัญญาดั้งเดิมที่มีค่า ก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้เราในฐานะผู้ชม รู้สึกถึงสายใยอันเปราะบางของจิตวิญญาณในป่า รู้สึกหวงแหนธรรมชาติที่ถูกคุกคาม ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องป่าให้ยังเป็นศูนย์รวมของสิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ และพลังงานที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

ท่านหญิงอิโบชิ 

เขียนถึง ซาน แล้ว ก็อยากเติมเล็กน้อยถึงท่านหญิงอิโบชิ ที่เป็นผู้ดูแล/หัวหน้า/เจ้านาย แห่งโลหะนคร ถ้าเปรียบ ซาน เป็นผู้ทำเพื่อธรรมชาติ อิโบชิ ก็เป็นผู้ทำเพื่อมนุษย์ อิโบชิเป็นผู้นำหญิงที่เก่งกาจและเด็ดขาด สามารถบริหารการงานและดูแลผู้คนของเธอได้เป็นอย่างดี อิโบชิยังได้ให้ข้อเสนอกับผู้หญิงที่ทำงานเป็นโสเภณีในเมือง ว่าสามารถมาทำงานแปรรูปเหล็กกับเธอได้ ซึ่งแม้จะเป็นงานที่หนักแต่ก็ให้ค่าตอบแทนและได้รับการดูแลที่เป็นธรรม ทำให้ผู้หญิงทุกคนมีทางเลือกในชีวิตของตัวเอง อิโบชิจึงเป็นผู้นำที่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันและได้รับความเคารพนับถือจากชาวเมือง

แต่นั่นก็ทำให้ อิโบชิ บอกว่า ไม่สามารถหยุดรุกรานธรรมชาติได้ เนื่องจากเธอต้องดูแลผู้คนอีกหลายชีวิต และการใช้ทรัพยากรธรรมชาตินั้นเป็นสิทธิเสรีภาพของมนุษย์

Spirited Away (มิติวิญญาณมหัศจรรย์)

มาถึงอีกเรื่องที่เป็นที่กล่าวขานไม่รู้จบ Spirited Away มาพร้อมกับฉากเดินข้ามไปยังโรงอาบน้ำที่มีชิฮิโระยืนอยู่บนสะพาน มีการจัดแสดงห้องอาหารที่มีอาหารจำนวนมากวางกองอยู่สำหรับคาโอนาชิ และมีฉากเสมือนจริงบนรถไฟตอนที่คาโอนาชิกำลังเดินทางไปยังเกาะที่เซนีบาอาศัยอยู่ให้เราสามารถนั่งถ่ายรูปข้างๆ ได้

ชิฮิโระ (เซน)

เป็นบ่ายแก่ๆ ของฤดูร้อนในวันปิดเทอมที่ ชิฮิโระ จะต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในเมืองใหม่พร้อมกับพ่อและแม่ ระหว่างทางพ่อกับแม่หยุดรถและเดินเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสามคนหลุดเข้าไปในโลกแห่งจิตวิญญาณโดยไม่ตั้งใจ ชิฮิโระพบว่าพ่อกับแม่ของตัวเองกลายร่างเป็นหมู และเธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อถอนคำสาปและพาพ่อกับแม่กลับไปยังดินแดนมนุษย์

ชิฮิโระ เป็นเด็กหญิงวัย 10 ขวบคนหนึ่งที่ไม่ได้ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน ชอบใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นกับรองเท้าผ้าใบ พอต้องเดินข้ามฝั่งไปเจอกับโลกที่มีภูติและวิญญาณต่างๆ ก็ทั้งตกใจและพยายามรวบรวมความกล้าเพราะมีชีวิตของพ่อกับแม่เป็นเดิมพัน เธอขออาศัยอยู่โดยทำงานที่โรงอาบน้ำของแม่มดยูบาบา โดยได้รับความช่วยเหลือจากไฮกุ (เทพรักษาแม่น้ำไคฮากุ) คะมะจี (คนต้มน้ำ) และ ริน (หญิงคนงาน) ในขณะเดียวกันก็ใช้ไหวพริบและความกล้าหาญของตัวเอง รับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณนี้

การเติบโตของชิฮิโระ คือการเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าเพื่อเป็นที่พึ่งให้กับพ่อและแม่ ซึ่งต้องใช้ความอดทนจากการทำงานจนเหน็ดเหนื่อย ใช้ความกล้าหาญในการรับมือกับอำนาจและความไม่ยุติธรรม ใช้ไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ใช้ความอ่อนโยนในการรับรู้ถึงผู้คนรอบข้างและให้ความช่วยเหลือเมื่อเห็นใครลำบาก ชิฮิโระใช้คุณสมบัติเหล่านี้และทำให้ตัวเองและพ่อแม่ออกมาจากโลกวิญญาณได้ กลายเป็นชิฮิโระคนที่เติบโตขึ้นจากภารกิจที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและประทับใจ 

ประสบการณ์เหล่านี้จะอยู่ในความทรงจำของชิฮิโระตลอดไปโดยมียางรัดผมสีม่วงที่ชิฮิโระได้รับจากเซนีบาเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเธอจริงๆ 

คาโอนาชิ (ผีไร้หน้า / No Face)

คาโอนาชิ หรือ ผีไร้หน้า หรือ No Face มีการเปลี่ยนผ่านที่เราอยากเขียนถึง คาโอนาชิ คือ ภูติหรือผี ในผ้าคลุมสีดำและหน้ากากสีขาว เขาเป็นภูติที่โดดเดียว ไร้สังคม ไร้ตัวตน ไม่มีใครรักและสนใจ เมื่อชิฮิโระเห็นว่าเขาตากฝนอยู่ด้านนอกก็เปิดประตูให้เข้ามาด้านใน ความอาทรนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาอยากเข้าไปในโรงอาบน้ำและไปเจอชิฮิโระ 

คาโอนาชิพยายามทำตัวเป็นแขกที่มีเกียรติด้วยการเสกเงินทองจำนวนมากออกมาให้กับคนในโรงอาบน้ำ แต่เมื่อเขายื่นให้ชิฮิโระ ชิฮิโระกลับไม่ต้องการเงินทองที่เขามอบให้ ทำให้เขาเสียใจเดือดดาลและเฝ้าติดตามชิฮิโระ 

จุดเปลี่ยนของ คาโอนาชิ คือการได้ติดตามชิฮิโระไปพบกับเซนีบา น้องสาวฝาแฝดของยูบาบาบนเกาะที่ห่างไกล แรกเริ่ม คาโอนาชิ ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง นั่งที่ตรงไหน การที่ชิฮิโระปฏิบัติกับเขาอย่างไม่รังเกียจทำให้เขาเชื่อฟังชิฮิโระและสงบเสงี่ยม เมื่อไปถึงที่บ้านของเซนีบา คาโอนาชิ ได้รับการต้อนรับและปฏิบัติอย่างเป็นปกติ เขาได้นั่งร่วมโต๊ะ จิบชา กินเค้ก เซนีบาสอนให้เขาปั่นด้าย ถักโครเชต์ และชวนให้อยู่ต่อเพื่อเป็นผู้ช่วยเธอ คาโอนาชิตอบรับอย่างยินดี เขาได้พบกับคนที่เห็นคุณค่าในตัวเขาและมีที่ที่เขาอยากจะอยู่แล้ว

คาโอนาชิ หรือ ผีไร้หน้า เคยเป็นดั่งคนที่ไร้คนใส่ใจ เขาไม่รู้จักตนเอง จึงไม่มีที่ทางของตัวเอง สิ่งที่คาโอนาชิต้องการ คือการมีคนปฏิบัติกับเขาอย่างอ่อนโยน มีสิ่งที่เขาทำได้ที่เป็นประโยชน์ และได้มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับคนอื่นอย่างจริงใจนั่นเอง 

Ponyo on a Cliff by the Sea (โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย)

รูปปั้นของโปเนียวกับเหล่าปลาเหนือคลื่นน้ำไม่ได้อยู่ในที่เดียวกับที่จัดแสดง Ghibli Exhibition นะคะ แต่ถูกนำไปแสดงที่ประตูด้านหน้าของ Central World สามารถไปดูได้หากต้องการชมให้ครบค่ะ

ความต้องการย้ายจากเผ่าพันธุ์ปลามาอยู่เป็นมนุษย์อาจมองได้ในแง่มุมจินตนาการแฟนตาซี หรือมองในเชิงเปรียบเทียบถึงการข้ามผ่านตนเองในเชิงกายภาพ หรือการตัดสินใจเรื่องอื่นใดในชีวิตโดยไม่อิงกับต้นกำเนิดของเราก็ได้ค่ะ

โปเนียว

โปเนียวเป็นเจ้าปลาทองตัวน้อย ลูกสาวของจ้าวสมุทร ที่วันหนึ่งก็ซุกซนจนได้มาเห็นโลกริมชายฝั่งที่อยู่เหนือผิวน้ำ โปเนียว ได้พบกับเด็กชายใจดีชื่อว่า โซสุเกะ และอยากเป็นมนุษย์เพื่อที่จะขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บนพื้นดินกับโซสุเกะ 

แน่นอนว่าต้องปรับตัว โปเนียวต้องฝึกพูดคำที่มนุษย์พูด ฝึกกินอาหารอย่างมนุษย์ ฝึกเดิน ฝึกนั่ง ทำท่าทางตามแบบมนุษย์ทั่วไป รวมทั้งฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเองและคิดก่อนแสดงออกอย่างเหมาะสม โดยมี โซสุเกะ คอยเป็นเพื่อนและช่วยดูแล ไม่ต่างกับการต้องข้ามดินแดนที่อยู่อาศัยที่ต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมจึงจะอยู่ได้อย่างราบรื่น

สิ่งที่โปเนียวมีอยู่อย่างน่าทึ่ง คือพลังใจในความต้องการเป็นมนุษย์ และความชอบที่มีต่อโซสุเกะ จากการตั้งใจฝึกหัดความเป็นมนุษย์ ในที่สุดหางปลาของเธอก็หายไป ร่างกายของเธอกลายเป็นเด็กผู้หญิงโดยสมบูรณ์ โปเนียวยังมีความรักและความผูกพันต่อครอบครัวและเพื่อนในมหาสมุทร ในขณะเดียวกันก็ได้พบกับที่ที่เหมาะสมกับตัวเอง

โซสุเกะ

โซสุเกะเป็นตัวอย่างที่ดีของการโอบรับความแตกต่างและใจดีมีเมตตากับชีวิตที่อยู่ตรงหน้า คุณสมบัตินี้อาจส่งต่อมามาจากลิซ่า แม่ของโซสุเกะ ที่เป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารี ใจเย็น ดูแลผู้คนอย่างเต็มใจ

การเปลี่ยนจากปลามาเป็นมนุษย์ของโปเนียวไม่ได้สร้างความสงสัยหรือลำบากใจต่อโซสุเกะแม้แต่น้อย กลับกัน โซสุเกะเปลี่ยนตัวเอง จากเด็กชาย 5 ขวบที่ต้องมีแม่คอยดูแล กลายมาเป็นเด็กชายที่มีความรับผิดชอบและช่วยดูแลโปเนียวให้ได้มีประสบการณ์ที่ดีในการเป็นมนุษย์ แม้แต่ในตอนคับขัน โซสุเกะก็ได้ใช้สัณชาตญาณของตัวเองบวกกับความปรารถนาดีในการตัดสินใจเพื่อปกป้องโปเนียว

โซสุเกะเป็นเหมือน support system ที่นอกจากจะไม่ตัดสินแล้ว ยังช่วยดูแลให้เพื่อนได้เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านอย่างไม่โดดเดี่ยว จิตใจที่บริสุทธิ์ทำให้ทั้งโซสุเกะและโปเนียวก้าวข้ามเรื่องความแตกต่างของต้นกำเนิด มาให้ความช่วยเหลือและชอบในกันและกันได้อย่างไม่มีสิ่งกั้นขวาง

หากมีคนอย่างโซสุเกะเยอะๆ ในสังคมของเรา ที่เปิดกว้างและโอบรับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย เราทุกคนคงรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นต่อการปรากฏตัวในแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องกังวลกับการถูกตัดสินหรือผลักไส เหมือนอย่างที่โปเนียวปลาทองน้อยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากครอบครัวของโซสุเกะ


The World of STUDIO GHIBLI’s Animation Exhibition Bangkok 2023 

ที่ Central World กรุงเทพฯ ตลอดช่วงเดือนกรกฏาคม-สิงหาคมนี้ 

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิทรรศการและราคาตั๋ว > https://www.thaiticketmajor.com/the-world-of-studio-ghiblis/

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner
Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง