Calvin Klein กับแคมเปญ Pride Month  ความจริงใจหรือแค่การตลาดสีรุ้ง?

ในเดือนมิถุนายนของทุกปี เราจะได้เห็นแบรนด์ดังระดับโลกหลายแบรนด์ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ผ่านแคมเปญและสินค้าที่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจของชุมชน LGBTQIA+ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการยอมรับในพหุวัฒนธรรมทางเพศ

ปีนี้ แบรนด์แฟชั่นชั้นนำอย่าง Calvin Klein เลือกที่จะใช้ดาราดังอย่าง Cara Delevingne และ Jeremy Pope มาเป็นพรีเซนเตอร์นำเสนอคอลเลกชัน “This Is Love” ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่แสดงออกถึงความรักอันหลากหลาย ผ่านลวดลายสีสันสดใสของสายรุ้ง สัญลักษณ์ของชุมชน LGBTQIA+ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กางเกงชั้นใน และสินค้าอื่นๆ ที่มีสโลแกนสะท้อนถึงเสรีภาพ ความภูมิใจ และความเท่าเทียมของทุกคน

นอกจากนี้ Calvin Klein ยังได้ร่วมมือกับ 2 องค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลกอย่าง Transgender Law Center และ ILGA World ในการออกแบบเสื้อยืดลิมิเต็ดอิดิชัน พร้อมบริจาคเงินกว่า 240,000 ดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือชุมชน LGBTQIA+ โดยเฉพาะประเด็นด้านความปลอดภัยและความเสมอภาค 

การสื่อสารของแคมเปญผ่านภาพนิ่งและวิดีโอโฆษณาก็เสริมภาพความมั่นใจและความสุขสดใสของนายแบบนางแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย หรือเชื้อชาติ กับบทเพลง “100% Pure Love” ที่เชิญชวนให้ทุกคนเปิดใจกว้าง เข้าใจ และยอมรับซึ่งกันและกัน

แคมเปญ “This Is Love” จึงเป็นอีกหนึ่งการเคลื่อนไหวของแวดวงแฟชั่น ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นจิตสำนึกของผู้คนให้เล็งเห็นถึงความสำคัญของความเท่าเทียม ยอมรับพหุลักษณ์ของผู้คน และร่วมกันสร้างโลกอันน่าอยู่ที่ทุกคนสามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงได้อย่างอิสระ ไร้การเลือกปฏิบัติ เพราะทุกความรักและทุกชีวิตล้วนเท่าเทียม ไม่ว่าจะมีเพศสภาพ วิถีทางเพศ หรือรสนิยมแบบใด 

อย่างไรก็ตาม การใช้อัตลักษณ์ LGBT มาทำการตลาดของแบรนด์ต่างๆ ในช่วง Pride Month นั้น นับเป็นดาบสองคมที่หลายฝ่ายต้องจับตามอง ว่าเป็นเพียงกลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์เพื่อกระตุ้นยอดขาย หรือต้องการสนับสนุนชุมชน LGBTQIA+ อย่างจริงใจกันแน่

ในกรณีของ Calvin Klein แคมเปญ “This Is Love” นี้ ดูเหมือนจะเป็นตัวอย่างที่ดีของความพยายามเชื่อมโยงการตลาดเข้ากับกิจกรรมเพื่อสังคม  ทั้งการบริจาคเงินให้กับองค์กรที่ทำงานด้านความเท่าเทียมทางเพศโดยตรง และการร่วมกับ NGO ออกแบบสินค้าพิเศษที่ช่วยสะท้อนประเด็นปัญหาของชุมชน LGBTQIA+ 

นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมเชิญชวนลูกค้าร่วมบริจาคที่ร้านค้าก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือชุมชน LGBTQIA+ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้า สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างการรับรู้ในวงกว้างและกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยในประเด็นความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น

แต่แบรนด์ต่างๆ ก็ควรระมัดระวังไม่ให้การสนับสนุน Pride Month กลายเป็นเพียงการตลาดฉาบฉวย หรือ “Rainbow Capitalism” ด้วยการนำสัญลักษณ์ความหลากหลายทางเพศมาใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์โดยไม่มีการลงมือทำอะไรเพื่อชุมชนจริงๆ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในระยะยาว

สุดท้าย ประชาชนและสื่อก็มีส่วนสำคัญในการตรวจสอบให้การตลาดในเทศกาล Pride เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ต่อชุมชน LGBTQIA+ จริงๆ ไม่ใช่แค่การสร้างกำไรจากการเกาะกระแสเพียงอย่างเดียว หากทุกฝ่ายร่วมกันผลักดันให้การตลาด Pride Month เป็นไปในทิศทางที่จริงใจและยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ฉาบฉวย มันจะเป็นหนทางที่ทำให้ธุรกิจและชุมชน LGBTQIA+ เติบโตไปด้วยกันได้ พร้อมๆ กับการสร้างสังคมที่เปิดกว้างและเท่าเทียมมากขึ้นในระยะยาว

ที่มา: WWD

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner
Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง