ไม่มีปัญหาการกดขี่ผู้หญิงในบาร์บี้แลนด์ บาร์บี้เป็นได้ทั้งประธานาธิบดี ผู้พิพากษา ตำรวจ นักเขียน หมอ และทุกอย่างที่คนเราจะนึกฝันได้ บาร์บี้ตัวหลัก (Margot Robbie) ไม่ได้เป็นอะไรเลยเธอก็มีความสุขดีตามประสาสาวสวย กินอิ่ม นอนอุ่น มีปาร์ตี้เก๋ ๆ ทุกคืน และเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในทุกวัน แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งบาร์บี้ เกิดครุ่นคิดถึงความตาย มีชั้นไขมันบนต้นขา และเท้าที่เคยจิกในท่าใส่ส้นสูงก็กลับ “แบน” ทำให้เธอต้องออกมาสู่โลกจริงเพื่อตามหาต้นเหตุที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้
สำหรับผม Barbie เริ่มต้นตรงนี้ ตรงที่บาร์บี้เผชิญหน้ากับโลกจริง โลกที่ผู้หญิงแต่งตัวสวยจะโดนจับจ้อง คนแปลกหน้าร้องแซวกันแบบไม่เกรงใจ ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เธอพูดเท่ากับรูปลักษณ์ของเธอ โลกที่ให้บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจตลอดมา กลับกันกับเคน (Ryan Gosling) ที่เคยได้เป็นแค่เคน ได้รับเกียรติทุกอย่างเพราะเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี สิ่งที่เกิดขึ้นในองก์แรกของหนังเปรียบได้ดั่งการตกสวรรค์ของบาร์บี้ ความไม่เรียบของโลกจริงจึงท่วมท้นจนเธอไม่อาจทำอะไรได้นอกจากหลั่งน้ำตาออกมา
สถานะของบาร์บี้ไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงดิสนีย์ ครั้งหนึ่งพวกเธอเคยเป็นที่นิยม เป็นปรากฏการณ์ใหม่บนโลกที่ผู้หญิงจะมีบทบาทอย่างเต็มที่ในเรื่องราวของตัวเอง ก่อนที่ความหวานชื่นนั้นจะจางไปเพราะคนเริ่มตระหนักกันได้ว่า บทนางเอกมีไว้ให้สำหรับคนสวย คนที่มีชายรูปงามมาตกหลุมรัก คนที่มีกริยาเพียบพร้อม มีความสามารถ มีรูปร่างงดงามตามนิยม ยิ่งพวกเธอขายดีเท่าไร ที่ยืนของคนที่ไม่ได้งดงามตามมาตรฐานนั้นก็จะยิ่งเหลือน้อยลง การที่ซาช่า (Ariana Greenblatt) เด็กหญิงที่เลิกเล่นบาร์บี้ไปแล้ว พูดว่า “เธอถ่วงความก้าวหน้าของขบวนการเฟมินิสต์ไป 50 ปี เธอทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าเกลียดรูปลักษณ์ของตัวเองแค่ไหนตอนได้เห็นเธอ” อาจจะดูใจร้าย แต่คงจะไปแย้งเธอไม่ได้ เมื่อพิจารณาสารพัดสารพันวิธีที่ผู้หญิงต้องใช้เพื่อไขว่คว้าความงามมาสร้างที่ยืนให้ตัวเองในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันการกลับหัวกลับหางโลกปิตาธิปไตยอย่างบาร์บี้แลนด์ก็ไม่ได้ดีในตัวมันเอง เพราะมันกระตุ้นให้ความอยากเป็นคนที่ถูกรักของเคน ซึ่งเคยเป็นได้แค่เคน อยากจะพลิกมันเป็นเคนด้อมเพื่อเอาคืนบาร์บี้ที่ไม่เคยให้ค่าเขาได้ซึ้งแก่ใจ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เคนเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากคนที่อยากจะอยู่ในสายตาของบาร์บี้ การเปลี่ยนบาร์บี้ดรีมเฮาส์เป็นโมโจโดโจคาซ่าเฮาส์ ไม่ได้ช่วยเติมเต็มความแหว่งวิ่นที่เคนรู้สึก เช่นเดียวกับที่บาร์บี้รู้สึกเมื่อเธอตั้งคำถามถึงความหมายการมีอยู่ของตัวเธอเอง
Barbie เป็นข้อพิสูจน์ว่า Greta Gerwig เป็นคนที่ตีโจทย์งานที่ว่าด้วยเรื่องการค้นหาตัวตนได้อย่างร้ายกาจ หลังจากที่เธอเคยพิสูจน์ตัวเองกับการทำ Little Women (2019) มาแล้ว แม้ว่าครั้งนี้เธอกับผู้ร่วมเขียนบทอย่าง Noah Baumbach จะมุ่งเป้าเล่นงานระบอบปิตาธิปไตยกับภาวะ Toxic masculinity เป็นหลัก แต่แก่นเรื่องการค้นหาความหมายในตัวก็ยังคงแข็งแรงไม่แพ้ผลงานชิ้นก่อน ๆ มันโดดเด่นขึ้นมาเหนือความระเบิดเถิดเทิงของงานโชว์ที่อาจจะพูดได้ว่าราคาแพงและพิถีพิถันเอาการ ทั้งฉากที่กลอเรีย (America Ferrera) พูดถึงความยากลำบากของการเป็นผู้หญิงและฉากบาร์บี้พบพระเจ้า (Rhea Perlman) ก็ลึกซึ้งคมคายเอามาก ๆ ในท้ายที่สุดแล้ว เจตนาของหนังเรื่องนี้คือการกระตุ้นให้คนมองเห็นคุณค่าทั้งในตัวเองและคนอื่น ๆ เห็นความงามในความเป็นไปได้อันไม่มีที่สิ้นสุดของเพื่อนมนุษย์ โดยไม่มีกรอบใดมาบดบังเอาไว้
แม้ว่ามุกตลกล้อเลียนชายแท้ในเรื่องจะดูตรงไปตรงมาไปสักหน่อย จนรู้สึกว่ามันเรียบง่ายเกินไปสำหรับชื่อเสียงความร้ายของมือเขียนบททั้งสองคน แต่เมื่อได้เห็นอาการอยู่ไม่สุขของบรรดาคุณผู้ชาย ทั้งแบบที่โวยวายว่านี่มันหนังของพวก Woke เป็นการโจมตีผู้ชายโดยตรง และแบบที่ออกอาการเบื่อหน่ายจนเลือกดูแค่ “หน้าสวย ๆ ของ Margot Robbie” ก็ยิ่งเข้าใจว่าตัวหนังทำงานของมันสำเร็จแล้ว การที่มันได้พลิกภาพลักษณ์ของตุ๊กตาฮิตไปพร้อม ๆ แหย่ให้ “เคนด้อม” แสดงอาการสำลักความเป็นชายขึ้นมาถือเป็นความสำเร็จแล้ว หากจะมีเวทีรางวัลใดมองเห็นคุณค่าของหนังเรื่องนี้ จะถือว่าเป็นโบนัสแก่ความทุ่มเทของทีมสร้างกับความใจกว้างของคนออกทุนก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลยแม้แต่น้อย
รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?