ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายสามคนถูกนิยาม และนิยามตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมปะปนอยู่ในเมืองเล็กๆ โอบล้อมด้วยสายลมอบอ้าวที่หอบสารพัดสิ่งมาด้วย กลิ่นดิน กลิ่นดอกพุดจาง เสียงกระดิ่งแว่วกังวาน และเมฆครึ้มที่จะกลั่นเป็นหยาดฝน ความรู้สึกเป็นอื่นจากครอบครัวแตกแยก การโหยหาบ้านให้กลับ การวาดหวังอ้อมกอดจากรักแต่ก็เผลอทำหลุดมือ
ยอมรับว่าในฐานะคนอ่านก่อนหน้านี้ก็คืออ่านบทต่อบทด้วยมูทซึม ปนกับความรู้สึกคอยลุ้นหลายจุด หลายโมเม้นท์ที่ทัชกับชีวิตตัวเองช่วงวัย 15-16 หลายจุด ทั้งเรื่องครอบครัว ทั้งเพื่อน สมัย ม.ต้น / บ้านเก่า / เขตหวงห้ามคนนอกห้ามเข้า / พายุ / ฤดูร้อน รอยต่อรอยต่อของชีวิต / การออกบ้านไปของผู้เป็นพ่อ /การเข้ามาครอบครัวใหม่ของผู้เป็นแม่ / เพื่อนที่เคยสนิทแต่ก็ห่างหายไปไม่รู้งอนโกรธทะเลาะกันเรื่องอะไร จำไม่ได้ / ความสับสนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กที่มีนิสัยชอบเก็บงำทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับตัวเองทั้งที่เป็นคนใจร้อน (แต่จะลงกับเพื่อนสนิทใจ) บวกความรู้สึกเป็นอื่นจากทุกสิ่งทุกอย่างแบบเดียวกับกับที่ตัวละครที่ชื่อว่า เม(เมษา) รู้สึกไม่ต่างกัน
แต่ละบทเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่ออ่านลื่นไหลไร้ความสะดุดฉุดคิดตั้งคำถามว่าจริงไหม เป็นไปได้หรือ หากใครเคยผ่านชีวิตช่วงวัยมัธยมต้น สู่ มัธยมปลาย ไม่ว่าคุณจะตั้งนิยามตัวเองว่าเป็น “เพศไหน?” คิดว่ามีอารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วยไม่ยาก ในฐานะ เม(เมษา) ผู้ดำเนินเรื่อง
ยอมรับว่าตอนจบ ก่อนพลิกกระดาษหน้าสุดท้ายแบบน้ำตาซึม เหมือนตัวละครชื่อตะวันมาพูดใส่หน้าว่า “ทำไมเราชอบมองตัวเองในแง่ร้ายเกินเหตุ ก่นด่าตัวเองว่าเห็นแก่ตัวทั้งที่จริง ๆ นึกถึงคนอื่นมากกว่าใคร”
โดยรวมมูสของเรื่องนี้ก็เป็นวาย ปนดราม่า ปนฮีลใจแหละ โอเคก็หวังว่าสักวัน ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้านับสิบนับร้อย ฤดูกาลผ่านไปพร้อมกับชีวิตที่ไร้ความปราณี ก็คงจะพบตะวันของตัวเอง และไม่หนีไปแห่งหนไหนอีก แนะนำไปตำกันได้ที่ P.S. Publish
“คนนอก – นี่แหละป้ายที่แปะอยู่บนตัวเรา ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร ไม่เป็นส่วนหนึ่งของอะไรทั้งนั้น เราล้วนตามหาที่ปลอดภัยของตนเอง เฝ้ามอง ‘คนใน’ ด้วยสายตาริษยาอยู่เนืองนิจ”
รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?