กลางดึกคืนหนึ่งออกุสต์ ดูแปง ได้รับสายโทรศัพท์นัดหมายจากร็อเดอริก อัชเชอร์ ให้ไปหาที่บ้านหลังเก่า เขาประหลาดใจเหลือเกินว่าเหตุผลกลใด เศรษฐีบริษัทยาที่เขากำลังมีคดีความกับเขา อยู่ ๆ ก็อยากจะเจรจาทั้ง ๆ ที่ลอยนวลจากการขายยาซึ่งทำลายชีวิตคนนับล้านมาได้หลายทศวรรษ เมื่อมาถึงที่หมาย เจ้าตระกูลอัชเชอร์ก็ไม่รีรอที่จะไขข้อข้องใจของออกุสต์ 

“คืนนี้ผมจะสารภาพเรื่องอาชญากรรมของผม” เศรษฐีเฒ่ากล่าว “ทุกอย่างจะจบลงในคืนนี้”

แม้จะมองเห็นชัยชนะของศึกที่รบรามาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ออกุสต์ได้ฟังจากปากของผู้ร้ายก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่ร่วมงานกับเนตฟลิกซ์มาหลายปี ในที่สุดไมค์ ฟลานาแกนก็ถึงคราวต้องดึงม่านอำลาซีรีส์ชุด “บ้านหลอน” ของเขาอย่างเป็นทางการ และวัตถุดิบที่เขาเลือกใช้ในการปิดฉากอย่างสมศักดิ์ศรีในคราวนี้ก็คืองานรวมเรื่องสั้นของปรมาจารย์นิยายสยองขวัญจากศตวรรษที่แล้วอย่างเอ็ดการ์ อัลเลน โพ โดยมีเรื่อง The Fall of The House of Usher เป็นแกนหลัก 

เรื่องราวว่าด้วยบ้านตระกูลอัชเชอร์ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเภสัชซึ่งร่ำรวยจากการขายยาแก้ปวด “ลิโกโดน” ตัวการหลักของวิกฤตโอปิออยด์ในอเมริกา แม้จะเห็นกันชัด ๆ ว่าคนพวกนี้เป็นเศรษฐีมือเปื้อนเลือด ความมั่งคั่งและกลยุทธ์อันแสนโหดเหี้ยมของร็อดเดอริกกับแมเดอลีน แฝดชายหญิงผู้นำตระกูลก็พาทุกคนรอดพ้นรอดพ้นอันตรายใด ๆ มาได้ตลอดราวกับเวรกรรมไม่มีจริง แต่แล้วความมั่นคงนั้นก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อลูกทั้งหกจากภรรยาห้าคนของร็อดเดอริกทยอยล้มตายอย่างสยดสยองภายในเวลาสองสัปดาห์

สิ่งที่ฟลานาแกนทำได้ยอดเยี่ยมและเป็นเช่นนั้นเสมอมาคือการลำดับเรื่องราวที่เหมือนกับการปอกหัวหอมออกทีละชั้นจนเราได้เห็นแกนกลางของความสยดสยองในที่สุด เขายังคงไม่เร่งรีบในการเล่าถึง “ผี” ในเรื่อง หากผู้ชมยังไม่รู้จักคนที่ “ถูกผีหลอก” ให้ดีเสียก่อน ทุกตอนที่เรื่องเคลื่อนไปเราจะได้เห็นถึงแรงขับอันบิดเบี้ยวของบรรดาทายาทตระกูลแต่ละคน ซึ่งแม้จะมีพื้นเพไม่เหมือนกัน แต่ก็มีความกระหายราวกับถูกสาปไม่ต่างกัน 

ส่วนรสชาติที่ต่างออกไปจากซีรีส์ของฟลานาแกนเรื่องอื่น ๆ ในคราวนี้ก็คือท่าทีแบบใหม่แบบสับในการเล่าเรื่อง ลีลาของซีรีสบ้านอัชเชอร์นั้นฉูดฉาดและดุเดือดราวกับจะเป็นการโต้ข้อครหาที่ว่าเขามักจะเล่าเรื่องเนิบช้า อุณหภูมิและความร่วมสมัยนี่เองที่ทำให้ผู้ชมไม่ได้รู้สึกว่ากำลังดูงานที่สร้างจากวรรณกรรมของศตวรรษก่อน ทั้งความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ และประเด็นร่วมสมัยที่กลืนอยู่ในฉากหลังมีส่วนไม่น้อยในการชูรสชาติสดใหม่โดยที่ไม่ทำลายแก่นเดิมของเรื่อง

 แม้ในท้ายที่สุดแล้ว ซีรีส์บ้านอัชเชอร์จะชวนให้นึกถึงเรื่องราวแฝงคติสอนใจอย่าง “บันทึกกรรม” หรือ “ฟ้ามีตา” ฉบับคนรวยอย่างช่วยไม่ได้ และผู้ชมอาจจะไม่ได้เชื่อสนิทใจว่าเวรกรรมจะทำงานกับคนรวยได้อย่างทั่วถึงกันแบบในเรื่อง แต่การตอบโต้ผ่านงานศิลปะ ผ่านเรื่องเล่าอย่างที่ The Fall of The House Usher กับ All The Beauty and The Bloodshed ก็ยังช่วยหล่อเลี้ยงความหวังเล็ก ๆ ให้ยังรู้สึกได้ว่าบรรดาเศรษฐีจอมขูดรีดอาจจะไม่ได้สบายใจนักหรอก เมื่อนึกถึงลูกหลานไม่ได้ความที่จ้องจะทำลายอาณาจักรของพวกเขาในวันที่สังขารโรยรา กรรมชั่วของพวกเขายังถูกจับจ้องโดยสายตานับล้านคู่ที่ไม่ยอมเพิกเฉยเพียงเพราะพวกเขามีอำนาจ และสุดท้ายพวกเขาต้องพบพานกับความตายอันน่าสังเวชไม่ต่างจากคนธรรมดาเดินดินทั่วไป ไม่ว่าเตียงที่พวกเขาสิ้นลมจะแพงระยับสักเพียงใด

The Fall of the House of Usher มีให้สตรีมดูได้แล้วทาง Netflix