เริ่มแรกเดิมทีเจ้าตัวเริ่มเขียนจดหมาย บทกวี และบทละครสำหรับละครเวทีขณะที่กำลังศึกษาในคอนแวนต์ที่ปารีส เมื่อจบการศึกษาออกมาก็ได้แต่งงานกับเจ้าหน้าที่เก็บภาษีคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาชีพที่ร่ำรวยในสังคมยุคนั้น  ซึ่งทั้งคู่มีความสนใจในวรรณกรรมมากๆ  ผลงานชิ้นเอกของมารีแอนคือการแปลหนังสือ Paradise Lost ของมิลตันเป็นภาษาฝรั่งเศส และผลงานชิ้นนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากนักอ่านรวมถึงผู้คนในแวดวงวรรณกรรมมากอย่างล้นหลาม และหนึ่งในแฟนตัวยงของเธอก็คือวอลแตร์ François-Marie Arouet  นักเขียน และนักประวัติศาสตร์ในยุคเรืองปัญญาของฝรั่งเศส

เมื่อได้รับแรงสนับสนุน ได้รับกำลังใจจากวอลแตร์ Anne-Marie du Boccage เลยทำในสิ่งที่ผู้หญิงยุคนั้นหลายคนไม่กล้าทำ คือการเขียนบทละครเรื่องของชนเผ่าอเมซอน  พล็อตเรื่องผู้หญิงที่ต้องเลือกระหว่างความรักและหน้าที่ สุดท้ายก็ต้องเสียสละตัวเอง  แต่จุดเด่นของบทละครเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่พล็อตแต่อยู่ที่เนื้อหาซึ่งเป็นสตรีนิยมมากๆ ในยุคนั้น

ภายหลัง Anne-Marie du Boccage ได้รับรางวัลวรรณกรรมและได้รับการยกย่องเป็นสตรีคนสำคัญในยุคของเธอ หลังจากที่สถาบัน Academy of Lyon ได้แต่งตั้งให้เธอเป็นสมาชิกในวันที่ 20 มิถุนายนปี 1758  ไม่เพียงได้รับการต้อนรับจากสมเด็จพระสันตะปาปาแต่เธอยังเป็นหญิงชาวฝรั่งเศสคนที่สองรองจาก Emilie du Châtelet (เอมิลี ดู ชาเตเลต์) นักปรัชญาธรรมชาติและนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอีกด้วย

ไปทำความรู้จัก Anne-Marie du Boccage ที่มีความเชื่อมโยงกับอเมซอนในวรรณกรรม เพิ่มเติมได้ในรายการ Out of the Myth EP.26 โดยคุณภาณุ ตรัยเวช แอดมินเพจ Our History: เรื่อง เล่า เรา โลก ที่ https://www.youtube.com/watch?v=FnaUhsZ7jqI

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?