สัดส่วนผู้หญิงที่มากขึ้นในการศึกษา สร้างผลกระทบอย่างไรต่อผู้ชาย

วันแรกของการต้อนรับนักศึกษาใหม่ ปี 2027 ในมหาวิทยาลัย Vermont สหรัฐอเมริกา เมื่อไม่นานมานี้ พบว่าในจำนวนนักเรียนที่เข้ามาใหม่มีสัดส่วนของผู้หญิงมากถึง 62% เป็นช่วงความห่างของสัดส่วนทางเพศที่ทำให้เมือง Burlington ในรัฐ Vermont ได้ฉายาว่า Girlington

นี่เพียงแค่ตัวอย่างหนึ่ง แต่ทั่วทั้งประเทศของสหรัฐอเมริกา สัดส่วนผู้หญิงที่ศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีมีมากถึง 60%

ในปี 1972 เมื่อบทบัญญัติที่ 9 ว่าด้วยเรื่องการไม่เลือกปฏิบัติทางการศึกษาถูกตราเป็นกฎหมายเพื่อทำให้ความเท่าเทียมทางเพศเกิดขึ้น ขณะนั้น ผู้ชายสามารถจบการศึกษาระดับปริญญาตรีได้ 13% มากกว่าผู้หญิง แต่ในปัจจุบัน จากสำนักงานสถิติทางการศึกษาแห่งชาติเปิดเผยว่า ผู้หญิงสามารถได้ปริญญามากกว่าผู้ชายถึง 15%

ยังไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าทำไมผู้ชายถึงหลุดหายไปจากการศึกษาระดับสูง แต่จากสถิติเราจะเห็นว่า สัดส่วนความห่างทางเพศนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลแล้ว เพราะผู้หญิงเป็นเพศที่แข็งกว่าในด้านวิชาการ

“ในตอนนี้ เรามีสัดส่วนความห่างทางเพศมากกว่าตอนที่เราผ่านกฎหมายนั้นเพื่อผู้หญิงเสียอีก ตอนนี้มันกลับกันแล้ว” Richard Reeves อดีตนักวิชาการอาวุโสของสถาบัน Brookings  กล่าว “ถ้าเราดูที่เกรดรวมในระดับชั้นมัธยม 2ใน3 ของคนที่ได้เกรดสูงสุดเป็นผู้หญิง และคนที่ได้เกรดต่ำสุด 2 ใน 3 เป็นผู้ชาย”

Reeves เพิ่งตั้งสถาบันสำหรับเด็กผู้ชายและผู้ชายแห่งสหรัฐอเมริกา เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้ชายและเด็กผู้ชายในสหรัฐฯ กำลังเกิดความลำบากในการตามการเรียนรู้ และไม่ใช่แค่ในเรื่องการศึกษา แต่เป็นเรื่องที่ทำงานและที่บ้านด้วย

เขากล่าวว่า คงเป็นเรื่องง่าย เมื่อถามคนเจนเนอรชั่นที่แล้วรุ่นสองรุ่นว่า อะไรคือความหมายของผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ แต่เมื่อถามผู้ชายในยุคนี้ล่ะ หลายคนไม่รู้เลย

Reeves บอกว่า เด็กผู้ชายหลายล้านคนไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าตนเองจะยืนอยู่ตรงไหน และทำให้พวกเขาหลุดออกจากระบบไปเลย ข้อมูลจากสำนักงานสถิติด้านแรงงานของสหรัฐฯ ระบุว่า สัดส่วนของผู้ชายในตลาดแรงงานลดลงไป 7% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา และจากข้อมูลของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคพบว่าผู้ชาย 21% ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างมาก ซึ่งเป็นสัดส่วนเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับผู้หญิง และพบว่าสัดส่วนในการฆ่าตัวตายก็เป็นผู้ชายมากถึง 80% เป็นสี่เท่าของสัดส่วนผู้หญิง

Reeves บอกว่าสองคำที่ผู้ชายที่จบชีวิตตัวเองลงมักจะใช้อธิบายตนเองคือคำว่า ‘ไร้ประโยชน์’ และ ‘ไร้ค่า’

“แต่ถึงอย่างไรก็ตามการยกประเด็นนี้ขึ้นมาก็ทำให้หลายคนกลอกตาได้และถามว่า ก็มีปิตาธิปไตยมาเป็นพันๆปีแล้วไม่ใช่หรอ มากังวลอะไรตอนนี้?”

อย่างไรก็ดี ผู้หญิงก็ยังได้รับเงิน 80 เซนต์ ในทุกๆ 1 ดอลล่าร์ที่ผู้ชายได้รับอยู่ดี และมีเพียง 10.4% ของผู้บริหารระดับสูงในบริษัทชั้นนำของโลกที่เป็นผู้หญิง และก็มีเพียง 28% เท่านั้นในสมาชิกสภาของสหรัฐที่เป็นผู้หญิง และสหรัฐฯก็ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีผู้หญิงมาก่อนเลย

นักศึกษาของ Vermont บางคนมองว่าการที่มหาวิทยาลัยมีสัดส่วนของผู้หญิงนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะการเปิดสนามทางการศึกษาที่มากขึ้นไม่น่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ชายไม่รู้ว่าตัวเองจะยืนอยู่ตรงไหน

ในขณะเดียวกันกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงจะเป็น ชนชั้นแรงงาน และเด็กผู้ชานชยเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน ที่ต้องการทุนการศึกษาในการเรียนต่อ ทางออกก็คือต้องหาพวกเขาให้เจอและสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เขายอมรับว่าปัญหาของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมถึงไม่เข้าระบบการศึกษาระดับสูง

ปัจจุบัน ฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัย Vermont ได้เปลี่ยนแปลงแผนการตลาดและการสื่อสารให้เข้าถึงผู้ชายได้มากขึ้น โดยเฉพาะกับคนที่คิดว่าไม่ต้องการเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย และก็ได้จ้างผู้ประสานงานด้านความหลากหลายมาเพื่อช่วยเหลือผู้ชายโดยเฉพาะ

นักศึกษาผู้ชายจากมหาวิทยาลัย Vermont ให้ความเห็นว่าการเพิ่มสัดส่วนของผู้ชายจะเป็นการช่วยคนที่หลุดออกจากระบบและจะช่วยสนับสนุนความเป็นหญิงและความเป็นชายให้เกิดความเท่าเทียมได้อย่างแท้จริง และจะสร้างผลดีให้กับทุกฝ่าย

โปรแกรมเพื่อการประสานงานสำหรับผู้ชายและความเป็นชายจะตั้งอยู่ในศูนย์ ผู้หญิงและความเท่าเทียมทางเพศ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูย้อนแย้ง แต่มันจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าปัญหาของผู้ชายก็อยู่ร่วมกับปัญหาของผู้หญิงได้เช่นเดียวกัน

แปลและเรียบเรียงจาก LEE COWAN, How gender disparities are affecting men

 

รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับโพสต์นี้?

Loading spinner
Related Stories

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง